“ชั้นบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าให้สอบให้ได้
แล้วทีนี้เป็นไง ไม่ได้อะไรเลยซักอย่าง
ชั้นควรจะร้องไห้แทนแกดีมั๊ยเนี่ย”
เสียงเรียบ เย็นชา
ผ่านริมฝีปากบางเฉียบที่ดังจากด้านหลังของผม
ทำให้สมองของผมมึนงงไปหมด
หางตาเหลือบไปมองผู้ที่ยืนค้ำหัวผมอยู่ข้างหลัง
ผมนิ่งฟังเสียงประชดเหน็บแนมที่ยังคงดังอยู่
เหมือนไม่มีวันจบ...
..........................................................
ผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองทำอะไรผิด ตั้งแต่เข้าเรียนม.1
ผมทำทุกอย่างตามที่แม่อยากให้เป็น
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจแม่ซักอย่าง
แม่คาดหวังว่าผมจะทำกิจกรรมเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆและคุณครูที่โรงเรียน
ผมก็พยายามทำทุกอย่าง ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ผมก็พยายามแล้ว...
จนเมื่อผมอยู่ม.6 แม่อยากให้ผมสอบเข้าคณะแพทย์
ทั้งๆที่ผมพยายามบอกแม่แล้วว่าผมไม่อยากเป็นหมอ
แต่ดูเหมือนว่าคำอุทธรณ์ของผมจะไม่มีผลกับแม่แต่อย่างใด
คำขาดของแม่ก็คือ...
“แกต้องสอบเข้าแพทย์ให้ได้ ไม่อย่างงั้น
ชั้นก็ไม่มีลูกอย่างแก...”
คำพูดของแม่เหมือนประกาศิต ผมไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรอีก
พยายามเรียนกวดวิชาและอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้ทุกอย่างเป็นได้อย่างที่แม่ต้องการ...
แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ไม่ใช่ว่าเพียงแค่อยากเข้าเรียนก็ได้เรียน สำหรับผม
มันเป็นการสอบที่หนักที่สุดตั้งแต่เกิดมา
เพราะผมไม่ได้แข่งเพื่อหาความรู้ให้กับตัวเองอย่างเดียว
แต่ยังต้องแข่งกับคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสน
ที่ก็ต้องการเข้าไปเรียนต่อเหมือนกับผม...
..........................................................
ตั้งแต่จำความได้ ผมก็อยู่กับแม่เพียงสองคน
ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แม่เป็นคนจัดการให้ผมเกือบทั้งหมด
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแม่คิดถูกแล้วที่มีอาชีพเป็นอาจารย์
เพราะด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
น้ำเสียงเย็นชาและกิริยาการเดินเนิบๆ
เพียงแค่นี้ก็ทำให้นักเรียนที่มีแนวโน้มจะเกเร
ต่างหัวหดกันหมด ซึ่งก็ไม่ได้ยกเว้นผมแต่อย่างใด
ตั้งแต่เด็กมา
ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่แม่ยิ้มให้ผมน่ะเมื่อไหร่
และจำไม่ได้แล้วว่าโดนแม่ตีกี่ครั้งกี่หน
บางครั้งก็เพียงแค่เพราะว่าทำการบ้านผิด
หรือไม่ก็ดูโทรทัศน์นานไปหน่อย
ผมไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นหรือแสดงความต้องการอะไรให้แม่เห็นเลย
เพราะแม่ไม่เคยฟังและไม่เคยที่จะสนใจความคิดใดๆของผมทั้งสิ้น
สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจนชินก็คือ
แม่สอนเด็กให้ได้ดีหลายคนแล้ว ทำไมจะสอนลูกให้ได้ดีไม่ได้
แต่มันเหมือนกับว่าแม่จะเข้มงวดกับผมจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพื่อนแต่ละคนของผม จะต้องถูกแม่ซักถามก่อนที่จะคบด้วยเสมอ
เพราะกลัวว่าเพื่อนเหล่านั้นจะมาชักจูงให้ผมออกนอกลู่นอกทาง
จนบรรดาเพื่อนของผมต่างถอยห่างจากผมจนเกือบไม่มีเพื่อนเหลืออยู่เลย
คงเหลือเพื่อนบางคนที่ผมต้องแอบคบอยู่เพราะกลัวว่าแม่จะเข้ามาวุ่นวายจนเพื่อนกลุ่มสุดท้ายนี้ต้องเลิกคบกันไปอีก
ซึ่งความอึดอัดนี้มันสะสมอยู่กับผมมาเป็นเวลาหลายสิบปี
จนกระทั่งถึงวันนี้...
..........................................................
“แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ...” เสียงเย็นชาของแม่ดังขึ้นอีก
“...ไม่ต้องเรียนดีมั๊ย ชั้นจะเอาแกไปฝากครูใหญ่
ให้ช่วยรับแกเข้าไปเป็นภารโรงของโรงเรียน
บอกตรงๆว่าชั้นคิดผิดจริงๆ
รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เด็กๆก็ดีแล้ว”
คำพูดของแม่ทำให้ผมสะอึก
ทำไมแม่ต้องกดดันผมหนักขนาดนี้ด้วย
“นี่ถ้าพ่ออยู่...” ผมเอ่ยขึ้น แต่แม่ตัดบทเสียงดัง
“ไม่ต้องพูดถึงพ่อแกเลย...” เสียงเย็นชาของแม่เข้มขึ้น
“...แกนั่นแหล่ะที่ทำให้พ่อแกออกจากบ้านไป
ยังมีหน้าไปพูดถึงมันอีก”
“แต่..” ผมจ้องหน้าแม่
เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องของพ่อมาก่อน
ไม่รู้ด้วยว่าเกี่ยวอะไรกับผม
“พอแล้ว...” แม่ตัดบท “...ชั้นไม่พูดเรื่องนี้กับแกอีก
รู้ไว้ซะด้วยว่าชั้นทนเลี้ยงแกมาเนี่ยก็เพราะอยากให้พ่อของแกรู้ว่าชั้นก็มีปัญญาเลี้ยงแกได้
แต่แกกลับทำตัวไม่ได้เรื่องเหมือนพ่อแก
แกไม่มีอะไรที่เหมือนชั้นซักนิด
นี่ถ้าชั้นไม่ได้เบ่งแกออกมาเองนะ
ชั้นคงไม่เชื่อหรอกว่าแกเป็นลูกของชั้น”
ประโยคสุดท้ายของแม่ทำให้ความอดทนของผมถึงขีดสุด
ผมลุกออกจากเก้าอี้ในห้องและเดินออกจากห้องไปทันที
“จะไปไหน...แกยังไม่ไหนไม่ได้ ชั้นยังพูดไม่จบ”
แม่ตะโกนไล่หลังมา แต่ผมไม่สนใจจะฟังอีกแล้ว...
...........................................................................
ผมเดินออกมาจากบ้าน
ตรงไปหน้าปากซอยซึ่งเป็นที่สิงสถิตของบรรดาเพื่อนๆกลุ่มสุดท้ายของผมเพราะเพื่อนที่โรงเรียนหรือเพื่อนที่อื่น
ต่างถูกแม่ของผมถามโน่นถามนี่จนหนีผมไปหมดแล้ว
ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะพวกมันนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟกันครบหน้าเพราะแต่ละคนก็ไม่ได้ทำอะไร
นอกจากจะมานั่งสุมหัวกันอยู่ที่นั่นทั้งวัน...
............................................................................
“มึงก็เลยเดินหนีออกมาจากบ้าน...”
เปี๊ยกถามพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
เพื่อนคนอื่นๆที่นั่งอยู่ด้วยก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“...แค่เนี้ย?”
“มึงจะให้กูทำยังไงล่ะ...” ผมพูดเสียงหงุดหงิด
เพราะหวังว่ามาคุยกับเพื่อนๆที่ร้านกาแฟหน้าปากซอยแล้วจะสบายใจขึ้น
แต่กลับกลายเป็นว่าโดนพวกมันหัวเราะเยาะอีก
“เป็นกู กูไม่ยอมเว้ย...”
ไอ้เติมพูดพลางหัวเราะก่อนจะจ้องหน้าผม
“...มีอย่างที่ไหนวะ ด่าเอาๆ อยากเป็นหมอก็มาเรียนเองสิวะ”
“แล้วกูจะทำยังไงดีเนี่ย...”
ผมพูดด้วยความกลุ้มใจเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ
มองเหม่อไปบ้านตัวเองที่เห็นอยู่ลิบๆ
หางตาเหลือบเห็นพวกมันมองสบตากัน
“แม่มึงเครียดมาก...” เสียงไอ้เปี๊ยกพูดเบาๆ
“มึงไปหาวิธีให้แม่มึงลดความเครียดหน่อยเถอะ”
“กูก็เห็นแม่กูเครียดมาตั้งแต่กูเกิดแล้ว...” ผมบ่น
“...ไม่รู้จะทำยังไงนี่หว่า”
“ไม่ต้องห่วง...” เปี๊ยกตบไหล่ผมเบาๆ
“...พวกกูเป็นเพื่อนมึง มึงไม่สบายใจ
พวกกูก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย เอ้านี่...”
มันพูดพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
หยิบซองพลาสติกเล็กๆขึ้นมาซองนึง ชูที่หน้าของผม
“...นี่เป็นยาแก้เครียด
พวกกูเก็บไว้ใช้เวลาที่มีเรื่องกลุ้มใจ
มึงเอาไปให้แม่มึงกิน รับรองว่าหายเครียด บอกไว้ก่อนนะโว้ย
นี่ของแพงนะ ถ้าไม่รักกันจริง กูไม่ให้มึงหรอก”
“แล้วแม่กูจะยอมกินเหรอวะ...” ผมยื่นมือไปรับ
ภายในซองมีผงสีขาวอยู่ค่อนถุง
“...กูยังไม่เคยเห็นแม่กูกินยาอะไรเลย
แล้วเดี๋ยวเค้าถามว่าเอามาจากไหน กูขี้เกียจอ้างถึงพวกมึง”
“มึงก็ไม่ต้องให้แม่มึงรู้สิ...” เติมพูดเบาๆ
“...กูรับรองแทนไอ้เปี๊ยกเลย พอแม่มึงกินยาแล้วนะ
รับรองจะรักมึงมากเลยล่ะ แล้วต่อไปจะไม่หาเรื่องด่า
หรือขัดใจอะไรมึงอีกเลย เชื่อกูสิ”
“ไม่เป็นอันตรายนะมึง” ผมคาดคั้น
“กูจะหลอกมึงทำห่าอะไรวะ...” เปี๊ยกทำเสียงจริงจัง
“...ถ้ามันกินแล้วตาย กูจะเอาติดตัวไว้ทำห่าอะไร
มึงนี่คิดโง่ๆ”
ผมพยักหน้า
มองหน้าพวกมันสลับกันไปมาพลางคิดว่ายาที่พวกมันให้ก็คงไม่พ้นพวกยาอีหรือยากล่อมประสาท
เพราะพวกมันเป็นเด็กข้างถนน
จะเอายาแก้เครียดจริงๆมาจากที่ไหน...
บางที...บางทีนะ ถ้าแม่ได้กินยาพวกนี้สักครั้ง
อาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะแม่ดูเครียดอยู่ตลอดเวลา
ถ้าได้ผ่อนคลายลงบ้างอาจจะดีขึ้นก็ได้
ความคิดของผมเวลานั้น
อะไรก็ได้ที่ทำให้แม่เลิกวุ่นวายกับผมซักที
ผมคิดพลางมองหน้าพวกมันอีกครั้ง...
.............................................................
“เมื่อกี้ผมขอโทษครับที่เดินออกจากบ้านไป”
ผมยืนอยู่หน้าแม่ที่กำลังเตรียมอาหารเย็น
“ไม่เป็นไร แกไปอาบน้ำแล้วเตรียมลงมากินข้าวได้แล้ว
มีอะไรไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันหลังกินข้าว”
เสียงของแม่ยังเย็นชาเหมือนเดิม
ผมมองหน้าแม่อีกครั้งก่อนจะเดินไปอาบน้ำ
กลับลงมาจากอาบน้ำ แม่ก็ขยับตัว
“กับข้าวเสร็จแล้ว ชั้นไปอาบน้ำก่อน
แกจะกินก่อนหรือรอก็ตามใจนะ” โดยไม่รอฟังคำตอบ
แม่เดินขึ้นไปข้างบนทันที
ผมมองตามร่างที่เดินขึ้นไปชั้นบน
นิ่งคิดอะไรอีกครั้งก่อนจะหยิบซองพลาสติกขึ้นมา
และเทผงสีขาวลงไปในแก้วน้ำของแม่เกือบครึ่งนึง
ผมใช้ปลายช้อนคนจนผงเหล่านั้นละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ
และนั่งรอแม่ลงมาทานข้าวพร้อมกัน...
.................................................................
ผมนั่งกินข้าวกับแม่ ตาก็คอยเหลือบมองแม่อยู่ตลอด
“เป็นอะไร กินไปสิ
เดี๋ยวเสร็จแล้วเราค่อยขึ้นไปคุยกันข้างบน”
แม่พูดพลางยกแก้วน้ำที่ผมผสมยาแก้เครียดขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ หวังว่าถ้าแม่ได้พักอย่างเต็มที่
บางทีแม่อาจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง...
แม่นั่งเฉยๆซักพักก็เอ่ยปากขึ้น
ทำให้ความหวังของผมดับวูบลง
“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วตามชั้นขึ้นไปข้างบนนะ
จะเอายังไงต่อก็พูดให้รู้เรื่องวันนี้แหล่ะ”
แม่พูดจบก็ลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวและเดินขึ้นข้างบนโดยไม่หันมามองผมอีก
ผมนั่งสะอึกอยู่ในใจ อิ่มตื้อเดี๋ยวนั้นเลย
นั่งฟุ้งซ่านอยู่ซักพักก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วเดินตามแม่ขึ้นไปที่ห้องของแม่...
..................................................................
“แกจะทำยังไงต่อ”
เสียงของแม่ยังเย็นเฉียบอย่างเสมอต้นเสมอปลายในความคิดผม
ยาของไอ้พวกนั้นคงไม่ได้ผล แม่นั่งอยู่บนเตียง
ส่วนผมยกเก้าอี้มานั่งอยู่ต่อหน้าแม่
“ผม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร “...ผมแล้วแต่แม่ครับ”
แม่พยักหน้า ใบหน้าเรียบเฉย
จากนั้นก็เริ่มด่ากรอกหูของผมเหมือนทุกครั้ง
จนผมอยากจะเอามืออุดหูแล้ววิ่งหนีออกไปจากห้องแม่
แต่ก็รู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ใช่วิธีที่ฉลาด เพราะยังไงซะ
ผมก็หนีแม่ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว
“ชั้นพยายามจะให้แกมีอาชีพการงานที่ดี
ก็เลยอยากให้แกเรียนแพทย์ แทนที่แกจะพยายาม
แกดันไม่ยอมตั้งใจเรียน เอาแต่เล่นทั้งวัน...”
แม่พูดเสียงเรียบๆแต่เชือดเฉือนตามสไตล์
“...แก...แก..ถ้าแก..อืมม...ถ้าแกตั้งใจจริงซักหน่อยนะ...อืมม...”
จู่ๆแม่ก็พูดตะกุกตะกัก เสียงที่เคยเย็นชาเริ่มสั่น
ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ
ขนลุกชันไปทั้งตัวจนสังเกตเห็นได้
แม่เอามือกุมขมับเหมือนกับจะเป็นลม
“แม่ เป็นอะไรครับ”
ผมถามด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเห็นแม่เป็นอย่างนี้มาก่อน
“ชั้นไม่ได้...เป็นอะไร...” แม่ตวาดขึ้น
แต่เสียงที่ออกจากปากกลับสั่นระริกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“...ชั้น..ยังพูด....ไม่จบ...”
ผมดูด้วยความมึนงง ถ้ายาของไอ้พวกนั้นออกฤทธิ์จริง
แม่ต้องมีท่าทางผ่อนคลายสิ ไม่ใช่ดูกระวนกระวายอย่างนี้
“ชั้น...” แม่พยายามจะพูดต่อ แต่ก็ต้องก้มหน้านิ่ง
เสียงลมหายใจเข้าออกดังหนักหน่วงคล้ายกับพยายามควบคุมอารมณ์อยู่
ใบหน้าที่ระเรื่อเป็นสีชมพูในตอนแรกนั้น
บัดนี้ได้แดงกล่ำไปจนถึงต้นคอ
ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงก้มหน้า พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ
เบียดต้นขาทั้งสองข้างไปมาช้าๆจนชุดนอนที่แม่สวมอยู่ยับย่นไปด้วยแรงบิดนั้น
“ทำไมเป็นอย่างนี้...” เสียงแม่พึมพำกับตัวเอง
ซึ่งผมฟังไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
รู้อยู่แต่ว่าอาการของแม่เหมือนคนไม่สบาย
แต่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ร่างของแม่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นซักพัก
ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างรุนแรง “...ไม่ไหว...แล้ว...”
เสียงแม่พึมพำเบาๆ
“เอก...” แม่เงยหน้าเรียกผม เสียงที่ผ่านริมฝีปากออกมา
ทำให้ผมต้องเงี่ยหูฟังอย่างแปลกใจ
เพราะไม่เคยได้ยินแม่เรียกผมด้วยเสียงนุ่มนวลขนาดนี้มาก่อน
แววตาที่แม่มองมานั้นเปล่งประกายบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
มันหยาดเยิ้มจนผมต้องก้มหน้าหลบสายตาของแม่
“ครับ” ผมขานรับเบาๆอย่างไม่รู้จะทำยังไง
“แม่เป็นอะไรก็ไม่รู้...” เสียงอ่อนนุ่ม
แหบพร่านั้นสั่นคลอนประสาทผมอย่างรุนแรงเพราะมันเจือไปด้วยสำเนียงที่เร่าร้อน
จนแม้แต่คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องผู้หญิงมาก่อนอย่างผมก็ยังรู้สึกได้
“...มันเป็นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เอก”
“แม่..แม่เป็นอะไรล่ะครับ” ผมพยายามถามเสียงตะกุกตะกัก
แล้วก็ต้องใจหายวาบเพราะแม่ขยับมือทั้งสองข้างลูบไล้ต้นขาของตัวเองอย่างแผ่วเบา