ผมพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอนแก่นกาย แข็งโด่ น้อยลุกขึ้นคร่อมทันที เธอจับลำเนื้อที่เปียกเยิ้มจ่อตรงรูรัก กดเอวลงมาทีเดียวมิดด้าม ลำลึงค์ของผมฝังอยู่ในรูรัก มันทำให้เธอเสียวซ่านยิ่งขึ้น น้อยครางอย่างสะใจ ขมิบรัดลำลึงค์ของผมอย่างแรงด้วยความเสียว “อูยยย..เสียวที่สุดเลยคะ…ผัวขา..ซี้ด” มือผมจับก้นของเธอประคองให้ก้นของเธอยกขึ้นยกลง สอดรับประสานกับลำลึงค์ของผมที่คอยกระเด้งสวน ผมยกก้นน้อยค้างไว้แล้ว แอ่นเอวกระแทกลำลึงค์ กระเด้าสวนขึ้นไปเร็วๆถี่ยิบ “โอ้ย…อูวว…เสียว เสียวที่สุดเลยผัวขา…โอ้ยมันกระทุ้งข้างใน..ถึงมดลูกเลย…ผัวขา…โอ้ย” น้อยครางไม่เป็นภาษาเพราะความเสียว กลีบแคมปลิ้นรัดลำลึงค์ของผมอย่างน่าดูชม แคมในทั้งสองปลิ้นอมลำเนื้อออกมาเมื่อผมยกก้นเธอขึ้น ผมดึงตัวของน้อยลงมาแล้วจูบที่ปากอย่างเร่าร้อน ดูดดื่ม “อูยย..ซี้ด..ผัวขา…ควยผัวเข้าลึกจังเลย…อูยยยย…ซี๊ดดด” เธอครางออกมาด้วยความเสียวที่ถูกลำลึงค์ของผมทะลุทะลวงเข้ารูรัก ผมซอยเอวถี่ๆ เจอแบบนี้เข้าน้อยก็ครางอู้ “โอ้ย…ผัวขา….เมียเสียว…โอ้ย…เมียเสียวมากเลย…โอว” “ผัวก็เสียวควย…อูยย” ผมครางกระเส่าบอกเธอ “หีเมียเย็ดมัน..อร่อยควยที่สุด..เมียจ๋าผัวก็จะออกแล้วเหมือนกัน..ซี้ด.. เดี๋ยวเราออกพร้อมกันนะ..อูยยย..อร่อยควยจังเลยเมียจ๋า..ซี้ด” น้อยขย่มลำลึงค์ของผมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมก็กระเด้งรับเช่นกัน ”โอ้ย..เมียจ๋า…แรงๆอีก...ผัว..ใกล้แล้ว…โอย…น้ำจะแตกแล้ว…เมียจ๋า…อา” ผมครางออกมาพร้อมกับปล่อยน้ำเงี่ยนออกมา น้ำเงี่ยนอุ่นๆพุ่งเข้าไปในรูของน้อยเป็นจังหวะ น้อยบดเอวแน่นกับแก่นกายของผม “โอ้ย..ผัวขา…เมีย..อูยย....ว้าย....ออกแล้ว..เมียน้ำออกแล้ว….อ้า...โอ้ย” น้อยถึงสวรรค์เหมือนกัน เธอขมิบตอดรัดถี่ๆ บดเอวแน่นอย่างรู้ใจ
“นี่..เธอสองคน…ไม่ยอมพลาดโอกาสเลยนะ?” พี่บุษย์พูดขึ้นมา เมื่อเราทั้งคู่เสร็จจากกามกิจไปหมาดๆ เรายิ้มเจื่อนๆ “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอพี่..เร็วจัง?” น้อยพูดออกมาแบบขวยเขิน “นี่..หูอื้อตาลายจนไม่ได้ยินอะไรเลยเหรอ ไป๊..ไปอาบน้ำทั้งคู่เลย” พี่บุษย์ไล่ส่งพวกเราไปอาบน้ำ ผมกับน้อยอาบน้ำด้วยกัน ผลัดกันถู ผลัดกันล้างให้กันและกันอย่างมีความสุข แม้ว่าเราจะไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นใด แต่สำหรับวันนี้เราคือคนที่มีความสุขที่สุดในโลก เรารับรู้แค่นี้
หลังอาบน้ำ จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเราออกเดินชมสินค้าประเภทอาหารทะเลตากแห้ง พี่บุษย์กับน้อยอยากซื้อไปฝากเพื่อนๆ ที่ทำงาน เราเดินชม เลือกซื้อของกัน เที่ยงๆ หลังอาหารกลางวัน เราเช็คเอ้าท์บ่ายหน้าลาแล้วสีชัง! ฝ่าคลื่นลมมุ่งหน้าสู่เมืองซอสพริกขึ้นชื่อ ศรีราชา
คลื่นลมแห่งท้องทะเล เทียบไม่ได้เลยกับคลื่นลมในชีวิตของพวกเราในวันหนึ่งข้างหน้า มันพัดพาความรัก ความหวัง พรากจากหัวใจเราไปไกลแสนไกล เกินกว่าจะเรียกกลับคืน
ทุกข์ใดใหญ่เทียมเท่าทุกข์ในรัก......
................................
นุ้ย...กุมภาพันธ์ 2546
==========
### บทที่ 6 ...มนต์เมืองเหนือ... ###
นับตั้งแต่กลับจากเกาะสีชัง ความรัก ความผูกพันของพวกเราก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว น้อยเก็บข้าวเก็บของย้ายมานอนร่วมชายคาเดียวกับพี่บุษย์ ในขณะที่ผมยังชอบที่จะอยู่คนเดียวในบ้านพักของบริษัทฯ มากกว่า และตอนนี้ผมก็ไม่ต้องวิ่งรอกไปบ้านพี่บุษย์ กับคอนโดที่น้องอยู่อีกแล้ว แค่คิดถึง ใจผมก็ถึงแม่นวลลออทั้งคู่ ผมกลายเป็นผู้ชายที่แสนจะโชคดีในวันนั้น และบทนี้คือบทที่ผมเขียนด้วยหัวใจปั่นป่วนที่สุด
บทที่ 6 "..มนต์เมืองเหนือ..."
-----------------------------
ผม น้อยและพี่บุษย์วางแผนการเดินทางครั้งนี้นานพอสมควร เหตุผลลึกๆ แล้วคือ อยากพักผ่อน ท่องเที่ยว อยากหลบลี้ความวุ่นวาย ของสังคมเมือง เสาะแสวงหาธรรมชาติ อยากถอดหน้ากากที่สังคมให้เราหยิบยืมใช้ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การเดินนับพันกิโลในครั้งนี้ สร้างรอยยิ้มและความประทับใจแก่พวกเราอย่างไม่รู้เลือน นับเป็นการเดินทางที่เชื่อมต่อ และหลอมรวมจิตวิญญาณของพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง เรื่องราวที่ไม่อาจลบเลือนไปจากหัวใจของผม ความรู้สึกดีๆ ยังเก็บอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ผมขอน้อยแต่งงานกลางทุ่งบัวตองที่แม่ฮ่องสอน
และนี่คือความทรงจำที่ดีที่สุดของผม ที่มีต่อพี่บุษย์กับน้อย.....
ตอน 1 สู่เส้นทางเมืองเชียงใหม่
-----------------------------------
ผมกับน้อยออกเดินทางจากกรุงเทพฯโดยเจ้าม้าเหล็กขบวนกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ใน เย็นวันนั้น เรารู้สึกสบายกาย สบายตัวขึ้นเมื่อได้มีโอกาสมานั่งรับแอร์เย็นๆบนขบวนรถ หลังจากที่ต้องฝันฝ่าการจราจรอันแสนสาหัสของกรุงเทพฯจากเอกมัย-หัวลำโพง “ปู้น ปู้นๆ ๆ”เจ้าม้าเหล็กเตือนเราว่า มันกำลังจะทำหน้าที่ของมันพาเราออกจากหัวลำโพง ออกจากกรุงเทพฯ หลบลี้ความจ็อกแจ๊ก จอแจ สู่เมืองเหนือในอีกไม่ช้า ผมกับน้อยออกมายืนที่ราวบันได โผล่หน้าออกมาดูนอกขบวนรถ เรารู้สึกสนุก ตื่นเต้น เหมือนวันเวลามันย้อนกลับไปในวัยเด็กๆที่มีโอกาสได้นั่งรถไฟ วูดดังขึ้นอีก พร้อมกับเจ้าม้าเหล็กกระชากตัวอย่างแรง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวช้าๆ ออกจากสถานี เรามองดูผู้คนที่เดินกันควักไขว่ แม่ค้าขายขนมที่สถานี ร้องเรียกลูกค้า พรร.แต่งสีกากี โบกธงสีเขียว เป่านกหวีด “ปรี๊ด ปรี๊ด ๆๆ“ เตือนผู้คนว่าอย่าแหยมเข้าใกล้ม้าเหล็กคันนั้นนะ เจ้าม้าเหล็กเพิ่มแรงม้าของมันขึ้นเรื่อยๆ มันพาเราผ่านสามเสน บางซื่อ บางเขน ออกสู่ดอนเมือง ในที่สุดกรุงเทพฯก็เลือนหายไปจากสายตา พร้อมๆ กับความมืดที่ค่อยๆ โรยตัวปกคลุมไปทั่ว ผมกับน้อยมองหน้ากัน เรายิ้ม เรารู้สึกว่าเรามีความสุขที่สุด เราจะใช้วันลาทั้งหมดของเราอย่างมีคุณค่าและเป็นความทรงจำที่ดี ที่เมืองล้านนาให้สมกับที่เราต้องทำงานเก็บเงินเหนื่อยมาเกือบทั้งปี
ตามกำหนดการแล้วเจ้าม้าเหล็กคันนี้มันจะพาเราไปเหยียบดินแดนเมืองนครพิงค์ตอนเช้ามืดของวันใหม่ที่สถานีเชียงใหม่
เสียงล้อเหล็กบดรางดังกระชึ๊ก กระชักๆๆ วูดดังปู้นๆ เสียงอย่างนี้ดังเป็นทำนองเช่นนี้ ตั้งแต่ออกจากหัวลำโพงแล้ว ช่วงไหนมันข้ามสะพาน มันก็ดังปัง ปังๆๆ ผมกับน้อยยืนตะโกนคุยกันตรงข้อต่อระหว่างตู้ขบวนรถ สายลมในหน้าที่อากาศเริ่มหนาว มันพัด ชำแรกเสื้อเข้าสู่ผิวกาย จนรู้สึกหนาวเหน็บ เราต้องกระชับปกเสื้อให้แน่นหนายิ่งขึ้น สำหรับโปรแกรมท่องเที่ยวของเรา เราวางแผนไปเที่ยวเมืองเชียงใหม่ เลยขึ้นเชียงรายแล้ววกลงมาที่แม่ฮ่องสอน บนรถด่วนขบวนนั้น ผมว่าสายตาหลายคู่มองเราเหมือนคู่รักคู่ใหม่ ที่กำลังหลบลี้ความวุ่นวายของสังคมเมืองไปแสวงหาอิสรภาพ และมนต์เสน่ห์ของเมืองเหนือ เรายืนคุยกันถึงเรื่องสับเพเหระ คุยกันทุกเรื่องเท่าที่เรานึกออก บางครั้งเราก็ทบทวนถึงเหตุการณ์เก่าๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หัวเราะให้กับอดีตที่เราผ่านมาแล้ว บางอดีตเราก็อยากจะลืมมัน อดีตที่เราไม่พึงปรารถนา แต่อดีตที่เราอยากจะลืม มันก็ฝังรากลึกลงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ ยากที่จะลืมเลือน ยิ่งดึกเราก็ยิ่งคุยกันอย่างออกรสมากขึ้น
“หนาวแล้ว กลับห้องเถอะ“ น้อยตะโกนบอกผม “หิวมั๊ย“ ผมถามน้อย “ไม่ค่อยหิวนะ“ “กินไว้ก่อนดีกว่ามั๊ย ““ตกลง“ พวกเราก็เลยย้ายที่ยืนจากข้อต่อขบวนรถไปนั่งที่ห้องเสบียงแทน เราทานข้าวไป คุยกันไป ดูวิวที่เจ้าม้าเหล็กมันตะกุยผ่าน แสงไฟนีออนบนถนนริมทางสว่างพอที่จะให้เรามองเห็นผู้คนที่ยังสัญจรไปมา
มนุษย์บางครั้งก็เหมือนมดปลวก ต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร ของตัวเองและครอบครัว เหมือนกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยหยุด ไม่เคยพอ แก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น ทั้งๆ สุดท้ายทุกคนรู้ดีว่าไม่มีใครเอาอะไรติดตัวไปได้ แม้แต่สิ่งเดียว สี่ทุ่มกว่าเราเดินกลับ ล้างหน้า แปรงฟัน เสร็จก็นอน ผมปิดม่านล้มลงนอนข้างๆน้อย เรานอนคุยกันอีกหน่อย “นอนด้วยคนนะ“ น้อยยิ้ม พยักหน้า ผมหอมแก้มน้อย ตกลงคืนนั้นน้อยนอนติดหน้าต่าง ผมนอนด้านนอก เธอนอนหนุนแขน กอดผม ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันไม่นานน้อยก็หลับในอ้อมแขนผม น้อยสวยหวานในยามที่เธอหลับพริ้มอยู่ในวงแขนของผม....
ตอน 2 เมืองนครพิงค์
------------------------
เช้าตรู่วันนี้ เจ้าม้าเหล็กก็ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ มันพาเราสองคนถึงจุดหมายที่สถานีเชียงใหม่ ผมกับน้อยหอบหิ้วสัมภาระติดตัวก้าวลงเหยียบแผ่นดินเมืองเชียงใหม่ ดูน้อยจะสดชื่นขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวาน อาจเป็นเพราะได้หลับมาเต็มตื่น และตื่นเต้นกับอากาศที่หนาวเย็นในเวลาเช้าๆ แบบนั้น
ที่ชานชาลา เราพบกับสหายเก่าของผมสมัยที่ยังร่วมหัวจมท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย สารถีและไกด์จำเป็นในวันแรกของเรา หนุ่มเมืองแพร่ผู้จบมาทางด้านรัฐประสาศนศาสตร์ แล้วมาทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ สิ่งที่ผมขอให้เขาช่วยในที่นี้ คือรถ เราสวมกอดทักทายกันให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันนาน ผมแนะนำน้อยให้เขารู้จัก หลังจากทักทายกันตามมารยาท สอบถามเรื่องการเดินทางอะไรกันนิดหน่อย
“โปรแกรมวันนี้มีอะไรบ้าง“ นี่เป็นคำถามแรกของผม คำตอบที่ผมได้รับ คือ กิน มันบอกว่ากองทัพเดินได้ด้วยท้อง ผมก็ไม่อยากขัดใจ เราช่วยกันหอบหิ้วสัมภาระเดินไปที่รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มันเตรียมไว้ ให้ มันบอกว่ารถคันนี้เป็นรถประจำตำแหน่งนักข่าวหนังสือพิมพ์ฝรั่งของมัน มันยกให้ผมใช้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น แล้วให้เอาไปฝากเพื่อนรุ่นน้องมันอีกทีที่แม่ฮ่องสอน แล้วมันจะไปเอากลับเอง อย่างแรกที่เราทำคือขับรถไปที่บ้านพัก ซึ่งเป็นของอาพี่บุษย์ วันที่เราไปเขาก็เลยให้เด็กที่บ้านมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นแบบทางเหนือ หลังจากที่เราเก็บข้าวของ อาบน้ำ อาบท่าเสร็จเรียบร้อย ที่แรกที่เราจะไป คือ ตลาด เพื่อหาอะไรรองท้อง ก็เป็นอาหารเช้าแบบทางเหนือ กาแฟ ปาท่องโก๋ ไส้อั่วอะไร ประมาณนั้น ระหว่างที่ทานข้าวเช้ากัน เรานั่งดูชีวิตผู้คนในตลาดยามเช้าก็นับเป็นภาพที่ดูแปลกตาดีเหมือนกัน เราคุยกันถึงโปรแกรมการท่องเที่ยวในวันนั้น และบอกเขาว่าเรามีโปรแกรมวันอื่นๆ อย่างไรบ้าง เขาก็เสนอว่าเขาจะพาเที่ยวในสถานที่ใกล้ๆ ตัวเมืองก่อน เพราะเรามีนัดที่จะต้องไปรับพี่บุษย์ที่สนามบินเชียงใหม่ตอนบ่ายแก่ๆ ของวันนั้น หลังจากทานข้าวเช้า ซื้อผลไม้ น้ำดื่ม ติดไม้ติดมือขึ้นรถ ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราก็ขับเจ้าโฟร์วีลคันเก่ง พาเราไปที่ ศาลหลักเมือง เขาบอกว่าเพื่อเป็นสิริมงคลสำหรับการมาเที่ยวของเรา และนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางทัวร์เมืองเหนือของเรา ศาลหลักเมืองนี้สร้างเมื่อสมัยพ่อขุนเม็งรายมหาราช ตั้งเมืองเชียงใหม่ เขาเล่าว่าพ่อขุนเม็งรายเชิญเพื่อนในสมัยนั้นคือพ่อขุนรามคำแหงและพ่อขุนงำ เมืองมาดูชัยภูมิที่นั่น และเกิดปิ๊งว่า โอเค ที่ตรงนี้แหละเหมาะที่จะตั้งเมือง เมืองที่ฝังเสาในวันนั้น ชื่อ นพบุรีศรีนครพิงค์
ฟาร์มกล้วยไม้ คือสถานที่ต่อมาของเรา มาดูของสวยๆ งามๆ กัน ที่นี้มีกล้วยไม้หลากหลายสายพันธ์ สีสันแตกต่างกันออกไป มีทั้งดอกใหญ่ ดอกเล็ก สมกับคำขวัญของเมืองเชียงใหม่จริงๆ น้อยดูจะชอบที่นี้มาก สาวสวยคู่กับดอกไม้งาม ผมหวังว่าวันหนึ่งกล้วยไม้พวกนี้มันจะได้มีโอกาสอวดโฉมอันแสนสวยงามนี้ต่อ ผู้คนผู้มาเยือน คนแล้วคนเล่า และก็หวังผู้คนจะชื่นชมในความงานของมัน
ทริปประจำวันนี้ใกล้จบแล้ว เป้าหมายสุดท้ายของพวกเราคือสนามบินเชียงใหม่ เมื่อถึงเวลาเสียงเครื่องยนต์โรลสลอยซ์ก็แผดเสียงครืน ครืน มาแต่ไกล ค่อยๆ ลดระดับลงแตะรันเวย์ พี่บุษย์คือคนที่เรามารับในวันนี้ ผมแนะนำให้สหายเก่ารู้จักกับเพื่อนใหม่ มันทำหน้างงๆ และคงมีคำถามในใจมากมายที่อยากถามผม และแน่นอนที่สุดผมย่อมไม่เปิดโอกาส ให้มันถามผมแม้แต่คำถามเดียว เรื่องบางเรื่องผมก็จนปัญญา หาคำอธิบายที่เข้าใจง่ายๆ ไม่ได้ ก็ปล่อยให้เวลาช่วยมันคิด มันเข้าใจของมันเองดีกว่า พี่บุษย์ยื่นถุงกระดาษโลโก้ดิวตี้ฟรี ให้กับสหายเก่าของผม ตามที่ผมขอให้เธอช่วยจัดการ ดูเจ้าสหายเก่าของผมมันพึงพอใจกับน้ำเมา ยี่ห้อฝรั่งที่พี่บุษย์ถือมาฝากเป็นพิเศษ เราออกจากสนามบินมุ่งหน้าเข้าเมือง อาบน้ำอาบท่าที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะออกไปเดินชมร้านรวงในเมืองเชียงใหม่ ณ ที่นี้ ผมซื้อสร้อยจี้ทองรูปหัวใจอันเล็กๆ พร้อมกับแหวนทองเกลี้ยงให้สองสาวคนละ 2 วง แน่นอนว่ามันเป็นวงเล็กๆ อีกเหมือนกัน ถือว่าเป็นรับขวัญการมาเยือนเมืองเหนือในวันนั้น จริงๆแล้วการได้ให้อะไรแก่ใครสักคน มันก็เป็นความสุขทางใจทั้งผู้ให้และผู้รับ เราเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ และบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้รับเช่นเดียวกัน
ค่ำวันนั้น สหายเก่าพาพวกเราไปทานดินเนอร์ขันโตกอันเลื่องชื่อของล้านนา พี่บุษย์ออกจะมีความสุขกับอาหารเย็นในวันนั้น เพราะสำหรับเธอแล้วเหมือนได้กลับมาบ้านเดิม ถิ่นเดิม เราร่ำลาสหายเก่าหลังจบดินเนอร์ขันโตกมื้อนั้น พรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มต้นของการเดินทางของพวกเราสามคนอย่างแท้จริง บนเส้นทางสายฝัน
หลังจากที่ร่ำลาสหายเก่าแล้ว ผมขับรถมุ่งหน้ากลับที่พักทันที เมื่อเราถึงบ้าน เราก็โผเข้าหากันอย่างคนอดอยาก ผมจับไหล่พี่บุษย์จูบปากเธออย่างแรงเนิ่นและนาน จบจากพี่บุษย์ผมก็หันไปหาน้อย น้อยเองช่วยปลดเปลื้องเสื้อผมออกอย่างเร่งร้อน โดยที่ปากเรายังไม่ละจากกัน มือผมตะโบมบีบเคล้นสองเต้าอวบน้อยอย่างมันมือ เหมือนจะให้มันแหลกคามือ พี่บุษย์จัดการกับตัวเองจนเปลือยเปล่าก่อนใคร อวดโนมเนื้ออล่างฉ่างของเธอ ผมคว้าเธอมาจูบ แลกลิ้นนัวเนียกันในโพรงปาก "อา อืม อูยยย" ผมนวดเคล้าคลึงลงบนอกอวบของเธอด้วยความเสน่หา อาวรณ์
น้อยคุกเข่าลง จัดการกับกางเกงของผมจนผมเปล่าเปลือยในที่สุด ดุ้นเนื้อของผม ค่อยๆจมหายไปกับกลีบปากสวยของน้อย ถูกรัดรึงด้วยริมฝีปากของน้อย ทั้งอมทั้งรูด น้ำลายเธอเยิ้มออกมา ลิ้นเธอตวัดไปมา ไล่จากโคนลำลึงค์ถึงปลายเงี่ยงบาน โดยเฉพาะที่ปลายเงี่ยงนี่เธอตวัดเลียอยู่นาน ทำเอาผมแทบคลั่ง ผมต้องละปากจากปากพี่บุษย์ "น้อย อูยย ผมเสียวมากเลย อูยยย" น้อยอมดูดเลียลูกกระโปกของผม กลิ้งมันไปมา ในปากของเธอ น้อยเองครางอือๆๆ เบาๆ ตามอารมณ์และจังหวะรักของเรา ผมกำลังจะแย่ ผมคราง ดังมาก ผมไม่เคยเสียวอะไรอย่างนี้มานาน "อูยย น้อย ผัวเสียวเหลือเกิน โอว ซี๊ดดด" น้อยสบตาผม เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า เธอจะดูดเสียให้สมอยาก ถึงตอนนี้ผมทนไม่ได้แล้ว ต้องยอมดึงลำลึงค์ออกจากปากน้อยก่อน ไม่งั้นผมเสร็จเธอแน่ ผมผลักพี่บุษย์ให้นั่งบนโซฟายาวในห้องรับแขก แยกขาของเธอออกกว้าง ซุกหน้าเข้าหาหอยกาบตัวใหญ่ที่นอนอ้าปากแดงรออยู่ พี่บุษย์เสียวมาก ขมิบเม็ดเสียวสั่นระริก ลิ้นผมแซะตวัด เลีย กลีบแคม ร่องหลืบ น้ำรักของพี่บุษย์ทะถั่งออกมา ยังกับทำนบพัง ใยไหมดกดำลู่ราบกับเนินนูน ด้วยน้ำรัก ผสมน้ำลายของผม พี่บุษย์ครางอย่างสุดเสียว "นุ้ย อูยย พี่เสียวเหลือเกิน จะไม่ไหวแล้วนะ อา" เธอสะบัดหน้าไปมา เส้นผมกระจาย ยิ่งเธอครางดังเท่าไร ผมก็ยิ่งดูดดุนเน้นๆ ที่เม็ดเสียวของเธอแรงเท่านั้น มือผมก็ลูบบี้คลึงกลีบรักของเธอ ตอนนี้มันเปียกชุ่ม ผมแยงนิ้วเข้าไปในร่องรักของพี่บุษย์ ควาน เกี่ยว งัดแซะ พี่บุษย์ครวญคราง "อา นุ้ย ทำไมถึงเสียวอย่างนี้ อา ซี๊ดดด"
น้อยเองก็ใช่ย่อย เธอรูดทุกอย่างออกจากตัว เปลือยเปล่า ก้าวขึ้นนั่งคร่อมหน้าพี่บุษย์ แล้วกดร่องของเธอลงบนใบหน้าของพี่บุษย์ วัวเคยขา ม้าเคยขี่ ดูเหมือนพี่บุษย์จะรู้และตอบสนองทันที เธอรัวลิ้นที่เม็ดเสียวของน้อย น้อยเองเจออย่างนี้เข้าก็เสียวมาก ร้อง "อาๆๆ..ดีๆๆ เสียวคะ พี่ขา" มือก็ขยำ ขยี้บี้นมตัวเองอย่างสะใจ พี่บุษย์เองถูกผมลงลิ้น เลียกลีบ ดูดติ่งเสียว นานเข้าก็ชักทนไม่ไหว "พี่จะถึงแล้วนะ..ดุนลิ้นหนักๆ เลย..อือ" ผมเน้นดูดเม็ดเสียวแรงๆ จนในที่สุด เธอร้องกรี๊ดยาว "โอย พี่จะออกแล้ว อูยย ออกแล้ว อา เสียวเหลือเกิน" ตัวแข็งเกร็งนิ่ง ร่องรูขมิบยวบๆ สำลักความสุข สะอื้น ฮักๆๆ น้ำรักของเธอไหลออกมามากมาย สองแขนอ่อนล้าตกข้างลำตัว หอบหายใจแรงอย่างมีความสุข ผมลุกขึ้นจูบหน้าผาก พวงแก้มแดงเรื่อ น้อยลงมานั่งข้างๆ จูบเอาใจเบาๆ
"พี่มีความสุขที่สุดเลย น้อย"
"เราอยากให้พี่มีความสุขเหมือนกันคะ" น้อยมองหน้าผม ยิ้มหวาน "ขอบใจจ๊ะ ทั้งสองคน"
"อูยย ผัวขา น้อยมีความสุขที่สุดในโลกเลยคะ ผัวเก่งที่สุดเลยคะ"
"ดีมั๊ยจ๊ะ"
"ดีคะ"
ผมจูบกับเธอ เราแลกลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอย่างแสนรัก แสนอาวรณ์ ก่อนที่ผมจะนั่งลงข้างๆ เธอ ผมดึงแขนพี่บุษย์ ให้ก้าวคร่อมหน้าขาผม พี่บุษย์จับลำลึงค์ผมตั้งตรงแล้วกดสะโพกลงมาช้าๆ "อูยย เสียว" พี่บุษย์ครวญออกมา เมื่อกลีบรักของเธออ้าอมลำลึงค์ของผมหมดทั้งแท่ง พี่บุษย์เอามือเกาะบ่าผม แล้วขย่ม โขยก อย่างไม่กลัวกลีบของเธอจะพังเสียก่อน อัดกระแทกดังป้าบๆๆ นมกระเพื่อมไหว ตามแรงกระแทก เธอเร่งขย่มลำลึงค์ของผม "อา อูยย พี่จะออกแล้ว อูยย ออก น้ำออกแล้ว อูยยยย" หน้าสะบัดเร่าๆ ครางออกมาอย่างไม่อายใครแล้ว ร่องรักเธอตอดถี่ๆ ผมทนไม่ไหวเหมือนกัน จับตัวเธอพลิกลงล่าง อัดลำลึงค์เข้าออกถี่ยิบ แล้วกระตุกปล่อยน้ำเงี่ยนออกมาเต็มรูของเธอ "โอยย ผัวออกแล้ว อูยย น้ำออกแล้ว" ผมบดลำลึงค์แน่นกับโหนกนูนของพี่บุษย์ ให้น้ำเงี่ยนเข้าลึกที่สุดในช่องทางรักของเธอ อา ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
ผมแลกจูบกับเธอดูดดื่ม ก่อนที่จะซบหน้าลงบนอกอุ่นๆของเธอ เราหอบหายใจแข่งกัน พอลำลึงค์เริ่มอ่อน ตัว ผมค่อยๆ ถอนออกจากรูของเธอ น้ำเงี่ยนสีขาวค่อยๆ ไหลเลอะขาอ่อนของพี่บุษย์เป็นทาง เรานอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข ฉลองการมาเยือนเมืองเหนือเที่ยวนี้...
ตอน 3 เยือนพระตำหนัก นมัสการพระธาตุงามบนดอย
---------------------------------------------
วันนี้พวกเราออกเดินทางสู่ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ หลังจากนั้นเรามุ่งหน้าไปวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ แต่ในระหว่างทางเราแวะนมัสการ อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย เราขับรถคดเคี้ยว เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา อย่างน่าเวียนหัว จนถึงที่ตั้งของ วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ
ที่นี้ เราสามารถมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่เบื้องล่าง อากาศข้างบนนี้เย็นสดชื่น บวกหนาวนิดหน่อย เราเดินขึ้นบันไดที่ทอดตัวยาวไปสู่ตัววัด และมีนาค 2 ตัวอยู่สองข้างบันได ซึ่งสูงกว่า 300 ขั้น เราเดินบ้าง พักบ้างหลายตลบกว่าจะถึงตัววัด เล่นเอาเหงื่อซึม รู้สึกเหมือนว่าเข่าจะอ่อนๆ ขาสั่นๆ อยู่เหมือนกัน เราออกจากวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ มุ่งหน้าสู่ห้วยน้ำดัง เราแวะซื้อ แวะชมสวนผลไม้ เช่น สตรอเบอร์รี่ แอ๊ปเปิ้ลที่ชาวบ้านท้องถิ่นปลูกไว้ ในระหว่างเส้นทางของเรา
คืนนั้นเราได้พักที่เรือนรับรอง ซึ่งเราจองไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาที่นี้ ตอนเย็นๆ พวกเราเดินเที่ยวชมรอบๆ บริเวณของอุทยาน ทักทายกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่แวะเวียนมาที่นี่ เพื่อชมทะเลหมอกในเช้าวันรุ่งขึ้น
อากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นของห้วยน้ำดัง ทำให้พวกเราสามคนต้องนอนเบียดเสียดกันบนที่นอนขนาดไม่ใหญ่นักของเรือนรับรอง มือผมคว้าเอวน้อยมากอดแนบอก น้อยนอนหันหลังให้ผม ลึกเข้าไปในหัวใจเราเต้นรัว ผมกอดเธอแน่นขึ้น บรรจงจูบแถวลำคอ ไรผมของน้อย แล้วไล้ไปตามซอกหูซอกคอ น้อยตัวสั่น มือผมเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายจากกอดเอวเฉยๆ มาเคล้าคลึงปทุมถันในเสื้อแพรบางเบาของน้อยแทน นมอวบเต่งกระชับมือ ผมจูบไล้อยู่แถวๆ ต้นคอ แผ่นหลัง มือผมลูบจากโคนขาของน้อย เสื้อแพรของน้อยเลื่อนติดมือผมขึ้นมา ฝ่ามือผมตะโบมเข้ากับเต้าอวบเนื้อแท้ของน้อย ผมพลิกตัวขึ้นทาบทับบนร่างของน้อย บรรจงจูบริฝีปากบางของเธออย่างแผ่วเบา ลิ้นเราพันเกี่ยว กระหวัด ดูดดุนกันอย่างถ้อยที ถ้อยอาศัย มือที่ตะโบมบีบนมของน้อย วกลงบนโหนกนูนของน้อย ตอนนี้นิ้วมือเป็นอาวุธสำคัญของผมที่จะโจมตีน้อย ผมลูบไล้เรียวนิ้วบนโคกนูน ติ่งเสียวของน้อย ล้วงลึกเข้าไปในร่องรักของเธอ บางครั้งบี้เม็ดเสียว เธอขยับสะโพกบิดส่าย "อูยย ผัวขา เสียวจะแย่แล้วนะ" หลืบร่องน้อยกำลังเปียกชุ่ม มือน้อยก็ใช่ย่อยเอื้อมมาเกาะกุมท่อนเอ็นของผม มันแข็งโป๊ก ผมรูดกางเกงนอนลงให้เธอจับได้ถนัดมือขึ้น น้อยรูดมันขึ้นลงอย่างคุ้นเคย ผมกับน้อยขยุกขยิกกันกันแรงขึ้น
พี่บุษย์ผงกหัวขึ้นมามองเรา "นี่ เธอสองคนทำอะไรกันจ๊ะ" น้อยตอบทันควัน "เย็ดกันงั๊ย อยากลองมั๊ย" เธอพูดแบบเน้นๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก "เธอนี่ ไม่เกรงใจ คนกำลังนอนเลยนะ" พี่บุษย์พูดพร้อมกับตีเพี๊ยะ ที่แขนน้อย "นุ้ย เธอจัดการน้อยเลย เดี๋ยวพี่จัดการตรงนี้เอง" พี่บุษย์พูดพร้อมกับวางมือลงบนโหนกนูนของน้อย ปากผมงับเข้ากับยอดอกชูชันของน้อยทันที น้อยครางอี๋ พี่บุษย์ซุกหน้าลงดูดดุนกับกลีบรัก กลีบสวาทของน้อย เราช่วยกันจัดการน้อยอย่างเมามัน "อูยย ไม่ไหวแล้ว ผัวขา เย็ดน้อยเถอะ น้อยไม่ไหวแล้วคะ.."
พี่บุษย์ขยับเปิดทางให้ผม ในขณะที่ผมแทรกกลางตัวของน้อย ผมยกขาเธองอขึ้น ประตูสวรรค์เปิดอ้าออก พี่บุษย์จับลำลึงค์ของผมถูไถตามกลีบรัก และเม็ดเสียวของน้อย ก่อนที่จะจดจ่อลงกลางช่องทางรัก ผมกดเอวยวบ แท่งเนื้อก็ค่อยๆ ไหลเข้ากลีบรักของน้อยอย่างช้าๆ มิดด้าม "อา เสียวจังเลยคะ ผัวขา" ผมเริ่มโยกเอวช้าๆ เนิบๆ ไม่รีบร้อน ผมสาวลำลึงค์เข้าออกยาวๆ ช้าๆ เรื่อยๆ "อูยย ผัวขา เย็ดเก่งจัง เมียเสียวมากเลยคะ" ในขณะที่ผมกระเด้ากลีบรักของน้อย พี่บุษย์ก็หย่อนก้นอวบหนาของเธอลงมาตรงใบหน้าของน้อย "น้อยขา เลียให้พี่หน่อยซิคะ" น้อยกวาดลิ้นดูดเลียกลีบสวาทของพี่บุษย์อย่างรวดเร็ว พี่บุษย์แอ่นเอวบดสู้ลิ้นน้อย "อูยย น้อยขา พี่เสียวเหลือเกิน อูยย" น้อยบรรจงดูดเน้นตรงติ่งเสียวของพี่บุษย์ จนเธอเริ่มออกอาการหายใจแรงขึ้น "อูยย น้อย พี่ใกล้แล้ว ดูดแรงๆอีกคะ อูยย"