close buttonclose buttonclose button
เลิฟซี

เลิฟซี

เรื่องเสียว · 39174

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
on: January 26, 2010, 11:19:48 am


เลิฟซี บทที่ 1 ผมอยู่ที่ไหน

ที่ไหนกัน? นี่เราอยู่ที่ไหน?
ผมหันไปรอบๆอย่างมึนงง ตัวเบาหวิว รู้สึกเคว้งคว้าง รอบตัวผมดำมืดไปหมด ไม่มีแสงไฟใดๆเลย แม้แต่แสงสะท้อนก็ไม่มี หรือตาผมบอดไปแล้ว ใจผมหายวูบ ตัวสั่นสะท้าน

“ที่นี่ที่ไหน? มีใครอยู่บ้าง? ไปไหนกันหมด?”

...นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมร้องเหมือนคนสติเสีย ผมร้องจนเสียงแหบแห้ง แต่คำถามของผมก็ไม่ได้รับคำตอบจากใคร หรืออะไรทั้งสิ้น เนิ่นนานกว่าที่ผมจะรวบรวมสติไว้ได้ ผมพยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น... เกิดอะไรก่อนที่จะเราจะมาอยู่ในที่นี้

ความทรงจำค่อยๆกลับมาช้าๆ ผมจำได้แล้ว ผมไปทำรายงานร่วมกับเพื่อนนักศึกษาอีกสามคน มันเป็นเวลาดึก เกือบห้าทุ่มแล้ว ผมกับแคทออกมาหาซื้อของกินเพราะต้องอยู่กันอีกหลายชั่วโมง... เราเดินกันมาบนถนนเพราะไหล่ทางค่อนข้างเล็ก แถมยังมีต้นไม้ปลูกอยู่เป็นระยะอีกด้วย

ดึกอย่างนี้ ถนนว่างเปล่า นานๆจะมีรถผ่านไปซักคัน เราคุยกันเพลิน แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น..

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง วิ่งมาจากทางด้านหลัง ผ่านเราไป เสียงเอี๊ยดดังลั่นแล้วรถก็เบรกกึก ผมเห็นผู้ชายสองคนนั่งซ้อนกันมา ลักษณะการแต่งตัวและท่าทางของพวกมันดูเลวๆยังไงชอบกล ผมมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น

“จะไปไหนน้อง มาซ้อนรถพี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่งให้”

เอาแล้วไง ไอ้คนนั่งซ้อนมันเริ่มแล้ว แคทจับมือผมไว้ มือของเธอเย็นเฉียบเลย ผมเองก็กลัวพอๆกับเธอ ไอ้สองคนนั้นมันตัวเบ้อเริ่ม กล้ามขึ้นเป็นมัดๆ ท่าทางเหมือนคนที่พร้อมจะติดคุกโดยไม่ยี่หระต่ออะไร พวกมันสองคนมองจ้องหน้าแคทด้วยสายตาหื่นๆ ไอ้คนซ้อนลงจากรถก่อน แล้วไอ้คนขับก็ลงตามมา ท่าทางพวกมันเอาจริง ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันทำแน่ๆ พวกมันไม่ได้ให้ความสนใจอะไรผมเลย... แน่ละ ผมใส่เสื้อเชิ๊ตหลวมโพลกนุ่งกางเกงยีนส์สวมหมวกแก๊ป ถึงจะดูเหมือนผู้ชายแต่ก็ดูเป็นเด็กผู้ชายกะโปโลคนหนึ่ง ไม่มีอะไรให้สนใจ ไม่ต้องหนึ่งต่อสองหรอก แค่หนึ่งต่อหนึ่งผมก็ไม่มีทางสู้แล้ว

“บุ้ง” แคทเรียกชื่อผมเสียงสั่น หลบมายืนข้างหลังผม ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับไอ้สองคนนั่น

ผมจะทำยังไง..ผมจะทำยังไง... ตอนนี้ตัวผมสั่นไม่น้อยไปกว่าแคท ผมสู้มันไม่ได้แน่ๆ ไม่มีทางสู้ได้เลย... แต่ผมจะปล่อยให้แคทถูกพวกมันรุมได้ยังไง ผมแอบรักแคทอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ และไม่เคยแสดงออกว่าชอบผมเลยก็ตาม แต่ถึงผมจะรักเธอยังไง ผมก็ยังไม่หลงจนลืมความจริงที่ว่าการที่ผมจะไปสู้กับพวกมันก็เท่ากับผมหา เรื่องเจ็บตัวเปล่า ดีไม่ดีจะตายเอาด้วย

“บุ้ง” เธอเรียกชื่อผมอีกครั้งพร้อมกับเขย่าแขนผม ผมเป็นที่พึ่งอย่างเดียวของเธอ และผมก็รู้ว่าผมปล่อยให้พวกมันทำเธอไม่ได้แน่ๆ

“พี่...จะทำอะไร” ผมกัดฟันถามเสียงสั่น
“เอ๊ะ ผู้หญิงนี่”
“เอ้อเฮอ ดูไม่ออกเลยนะนังหนู มานี่” มันดึงร่างผมกระชากจนเซถลา เพื่อนมันรีบมาจับผมไว้
“ขอยืมเด็กมึงหน่อย เดี๋ยวคืนให้ อื้อฮือ ตัวนุ่มจัง” ไอ้คนที่จับร่างผมไว้พูด
“แคทวิ่ง” ผมตะโกน

ตอนนั้นแคทวิ่งหนีแล้ว เธอตะโกนร้องให้คนช่วยไปด้วย ไอ้คนที่กระชากร่างผมออกตะโกนด่าแล้ววิ่งไล่ตามเธอไป ไอ้คนที่จับผมก็เหวี่ยงผมออกแล้ววิ่งไล่ไปด้วย...

ผมไม่คุ้นกับแถวนี้เลยเพราะเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่สังเกตจากที่เดินผ่านมาแทบไม่เห็นบ้านคนเลย ไม่มีเวลาให้ผมคิดแล้ว ผมต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ ผมตัดสินใจวิ่งตามไป เพราะถ้ามัวไปหาคนช่วย แคทก็คงเสร็จพวกมันไปแล้ว ผมยอมไม่ได้....

ผมมัวแต่ลังเล เลยช้ากว่าไอ้สองคนนั่น ไอ้คนที่วิ่งตามแคทมันรวบเธอไว้ได้ ผมเห็นทั้งคู่ล้มกลิ้งไปกับพื้น ไอ้สารเลวนั่นมันลวนลามเธอ ขยำหน้าอกแล้วก็ไล่ฟัดไปตามใบหน้าซอกคอ แคทพยายามดิ้น สะบัดหน้าพร้อมกับร้องให้คนช่วยตลอด แต่เพื่อนมันที่ตามไปถึงก็ไปช่วยจับแขนเธอยึดไว้ ไอ้คนแรกมันรูดเสื้อยืดเธอขึ้นไป แล้วฝังหน้าคลุกไปที่หน้าอก

ตอนนั้นผมวิ่งไปถึงแล้ว ผมโดดเข้าไปหวังจะกระชากมันออก
พลั่ก!
ผมโดนหมัดมันเต็มๆ โลกหมุนติ้ว ดาวขึ้นระยิบ รู้สึกเค็มปะแล่มแสบปากแสบจมูกไปหมด เลือดผมคงไหลออกมาแล้ว
“ อยากเจ็บตัวหรือไง” ไอ้คนที่จับแคทมันลุกขึ้นเดินมาหาผม ขณะที่ไอ้คนปล้ำแคทมันก็ยังปล้ำเธอต่อไป
“ปล่อยเธอนะไอ้บ้า” ผมตะโกนกลับ หน้ามืดไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ผมลุกขึ้นก่อนจะโดนมันอัดซ้ำอีกครั้งด้วยหมัดรุ่นๆ คราวนี้ผมโดนเป็นชุด ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ได้ยินเสียงแคทหวีดร้องตลอดเวลา ผมโดนมันอัดอยู่ข้างเดียว แม้จะล้มเกลือกกลิ้งไปบนพื้นแล้วมันก็ยังตามมาซ้ำ

แคทร้องไห้อยู่ในความมืด ผมพยายามลืมตาขึ้นมอง วัตถุสีดำมะเมื่อมจ่ออยู่ตรงหน้า เสียงแคทกรีดร้องลั่น

เปรี้ยง!!!

แล้วทุกอย่างก็ดำมืดลง.... ผมจำได้ถึงแค่นี้....


เลิฟซี บทที่ 2 นางฟ้า

แล้วทำไมผมจึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ผมรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
“รู้สึกตัวแล้วหรือนังหนู” เสียงแผ่วทุ้มดังในความมืด ผมรู้สึกเสียงนั้นก้องกังวาน ฟังดูแปลกประหลาด ข้อสำคัญมันยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่มีคนคุยด้วย

“ผมรู้สึกตัวมาตั้งนานแล้ว คุณต่างหากที่มาช้า ผมร้องจนเสียงแหบแห้งหมดแล้ว” ผมอุทธรณ์กับเขา
“เวลาของเธอกับเวลาของฉันมันไม่เหมือนกัน... นี่เธอต่อว่าฉันหรือ”
“เปล่าครับ ใครจะกล้าล่ะ คุณคือใคร และผมอยู่ที่ไหน ผมตายแล้วหรือ” ผมถามติดกันเป็นชุดๆ รู้สึกใจเต้นแรง แม้จะคาดเดาได้ลางๆ แต่ก็กลัวจะได้รับความจริงนั้น
“ฉันคือใคร อืมม...มันยากจะบอกให้เธอเข้าใจได้ แต่ฉันอยู่แบบนี้มานานแล้ว นานเกินกว่าที่เธอจะนับคำนวณได้ ส่วนคำถามที่ว่าเธอตายแล้วหรือ ถ้าในความหมายของเธอแล้ว ..ใช่”
คำตอบของเขาชวนให้มึนงงดีแท้ๆ มันยังมีตายในความหมายอื่นอีกหรือ
“ใช่ แต่เธอคงไม่เข้าใจหรอก”
เสียงนั้นดังขึ้นอีก ผมสะดุ้ง เขาได้ยินความคิดของผม แต่ผมไม่แปลกใจมากเหมือนตอนแรก ผมอยู่ในโลกที่แปลกประหลาด และจะมีอะไรที่ผมไม่รู้อีกเยอะ
“ถูกแล้ว เธอฉลาดกว่าที่ฉันคิด”
เสียงนั้นยังคงดังต่อไป เขาได้ยินความคิดของผม นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ผมต้องระวังพยายามที่จะไม่คิดอะไร
“อย่าระแวงฉันเลยนังหนู” ผมไม่ชอบสรรพนามที่เขาเรียกผมเลย
“คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าผมอยู่ที่ไหน สวรรค์หรือนรก” ผมถามด้วยความหวาดหวั่น คิดถึงการกระทำที่ผ่านมาสงสัยจะต้องลงนรกซะมากกว่า แต่ถ้าต้องตกนรกก็หวังว่าคงไม่อยู่ในชั้นที่ลึกหรอกนะ ผมไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไรร้ายแรง ฆ่าคนก็ไม่เคย แถมโดนฆ่าอีกต่างหาก ซวยจริงๆ... แต่ผมก็ยอมรับว่าได้ทำบาปไปบ้างแหละ ก็ทำแบบที่คนอื่นเค้าทำกัน ใครจะสะอาดบริสุทธิ์ได้ตลอดเล่า ผมตบยุงไปกี่ร้อยกี่พันตัวแล้ว

“ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์หรือนรก มันอยู่ตรงเส้นเขตแดนระหว่างอณาจักรทั้งสอง”
“โลกมนุษย์ กับ..กับ... โลกหลังความตาย” ผมพูดตะกุกตะกัก
“ก็ทำนองนั้น”
“แล้วผมจะไปที่ไหนต่อล่ะ นรกหรือสวรรค์ หรือไปเกิดใหม่”
“เธอจะไม่ได้ไปในทั้งสามแห่งนั้นหรอก เธอคือพวก เลิฟซี”
“เลิฟซี” ผมทวนคำอย่างสงสัย “เลิฟซีคืออะไร? ทำไมผมจึงเป็นพวกเลิฟซี? ทำไมผมไม่ได้ไปเกิดใหม่? แล้วผมต้องอยู่ในโลกมืดๆแบบนี้ตลอดไปเลยหรือ..”
ผมถามอย่างหวาดกลัว โลกแบบนี้ผมอยู่ไม่ได้หรอก มันยิ่งกว่าติดคุกอีก คุกยังมีแสงมีอะไรให้ทำ แต่นี่มันว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย…”ผมไม่ยอมนะ”
...ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีก
“เดี๋ยวซิคุณ.. คุณอยู่ไหน อย่าเพิ่งไปซิ เลิฟซีคืออะไร ทำไมผมจึงเป็นพวกเลิฟซี”
“โอ...” เสียงถอนหายใจดังยาวอยู่ในความมืดก่อนจะแผ่วหายไป

ผมใจหายอีกครั้ง นี่ผมจะทำยังไง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในสภาวะไหน ผมไม่ได้ยืน นั่งหรือนอน ไม่รู้สึกเมื่อย อันที่จริงผมไม่รู้สภาพของตัวเองด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ารูปร่างของผมเป็นยังไง เพราะผมมองอะไรไม่เห็น ผมเลิกที่จะถามหาเพราะไม่มีประโยชน์ ผมคงต้องทนรอและหวังว่าจะมีใครมาคุยด้วยอีก ผมจำที่เขาบอกได้เวลาของเขากับเวลาของผมไม่เหมือนกัน ผมได้แต่รอ...

“มาเถอะ” มีเสียงดังมาอีกจริงๆ คราวนี้เป็นเสียงหวานใสเลยทีเดียว เป็นเสียงผู้หญิงที่หวานเจื้อยแจ้วที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาในชิวิต
“เธอเป็นใคร” ผมถามอยากจะเห็นหน้าเธอมากๆ คำนวนจากเสียงแล้วผมนึกจินตนาการได้เลยว่าเธอจะต้องสวยมากๆ ผมยังไม่เคยได้ยินเสียงผู้หญิงที่เพราะขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไปกับฉัน” เธอไม่ได้ตอบคำถามผม แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังเคลื่อน หรือเลื่อน หรือลอย ผมบอกไม่ถูก แต่ไม่ใช่เดินแน่ๆ เราเคลื่อนไปเรื่อยๆแล้วผมก็เห็นแสงสว่างอยู่ตรงหน้า เหมือนแสงจากปลายอุโมงค์ยังไงยังงั้น

แสงสว่างเจิดจ้าจนผมรู้สึกแสบตาวูบ ผมหลับตา หูผมได้ยินเสียงเอะอะ เสียงรถราวิ่งดังอึกทึก ผมลืมตาขึ้นพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง คราวนี้พบว่าผมกลับมายืนอยู่ในโลกมนุษย์อีกครั้งแล้ว...

ผมสำรวจตัวเองก่อนเลย ผมอยู่ในชุดปกติก่อนที่ผมจะตาย มีแขนมีขามีทุกอย่างปกติ นี่ผมฝันไปหรือ ผมยังไม่ได้ตายนี่
“เธอไม่ได้ฝัน” เสียงหวานใสดังขึ้นอีก ผมไม่ได้ฝัน ผมหันไปทางเจ้าของเสียงทันที

โอ๊ยยย ผมอยากจะร้องออกมาดังๆ นี่มันนางฟ้าชัดๆ ผู้หญิงตรงหน้าผมนี่สวยยิ่งกว่าใครบนโลกนี้ ผมพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยทีเดียว นางงามจักรวาลคนไหนก็ต้องกระเด็นชิดซ้ายไปหมดเมื่อเทียบกับเธอ ผู้หญิงจะสวยยังไงก็ต้องมีที่ติ แต่เธอไม่มี... ใบหน้า คิ้ว คาง แก้ม ดวงตา รูปร่าง ผิวพรรณ สวยงามชวนมองไปทุกสัดส่วน ไม่มีทางที่จะหาที่ติเธอได้เลย แม้ผมจะรักแคทมากเพียงใด แต่ถ้ามาเทียบกับนางฟ้าตรงหน้าแล้วแคทก็ไม่สามารถประชันความงามกับเธอได้ แต่เธอดูอายุน้อยเหลือเกิน สิบหกสิบเจ็ดได้มั๊ง แถมชุดของเธอ โอววว... นี่มันชุดนอนหรือชุดชั้นในกันแน่ เนื้อผ้าบางเบาจนมองเห็นอะไรขาวๆ อูมๆสองลูกน่ารักน่าจับ ผมมองต่ำลงไปแบบเร็วๆก็ยังเห็นอะไรวับๆแวมๆในส่วนสำคัญด้วย... ใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ ผมไม่ได้ตาฝาด ทำไมนางฟ้าจึงแต่งตัวโป๊อย่างนี้ นางฟ้ามายั่วผมหรือ ไม่น่าเป็นไปได้ หรือจะมาทดสอบคุณธรรมแบบเทวดาที่งมขวานให้คนตัดฟืน ผมพยายามรักษามารยาทไม่มองในส่วนที่น่ามอง รถรายังวิ่งผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา ผมใจหายวาบมองไปรอบๆ นางฟ้าโป๊แบบนี้คนไม่มองกันแย่แล้วหรือ

“ไม่มีใครเห็นเราหรอก” เธอพูดยิ้มๆ


เลิฟซี บทที่ 3 ความรักขั้นต่ำสุด

“เธอเป็นนางฟ้าใช่มั้ย ทำไมถึงพาผมกลับมาที่นี่ล่ะ”
“ฉันถูกส่งมาเป็นพี่เลี้ยงเธอ”
“พี่เลี้ยงผม” ผมทวนคำอย่างงงๆ
“เราเดินไปคุยไปเถอะ มีธุระต้องรีบทำหลายอย่าง มีเวลาไม่มาก”
“ตอบผมหน่อยซิ เลิฟซีคืออะไร ทำไมคนเมื่อครู่ถึงเรียกผมว่าพวกเลิฟซี” ผมถามขณะที่เราเดินไปตามฟุตบาทข้างถนน ผมไม่รู้ว่าเธอจะพาผมไปไหน คำถามมันมากมายไปหมดจนผมไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี
“เธอคงไม่รู้ว่า ความรักนั้นมีอยู่หลายระดับ ความรักขั้นสูงสุดก็คือคนสองคนรักกัน แบ่งปันทุกอย่างให้กัน ความรักขั้นนี้จะอยู่เหนือทุกอารมณ์ ความรู้สึก ไม่มีอำนาจใดๆจะแยกคนรักในขั้นนี้ออกจากกันได้ เขาและเธอจะอยู่ด้วยกันทุกภพไป”
“แล้วความรักของผมล่ะ เธอเรียกว่าเลิฟซีใช่ไหม”

นางฟ้ามองผมด้วยแววตาที่สงสาร หรือจะเรียกว่าสมเพชก็ว่าได้
“เลิฟซีเป็นความรักขั้นต่ำสุด”
“ทำไม” ผมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที “เพราะว่าผมรักเพศเดียวกันน่ะหรือ”
“ไม่ใช่ เพศไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ถ้าคนสองคนรักกันอย่างจริงใจ ถึงจะเป็นเพศเดียวกันก็ก้าวเข้าสู่ความรักขั้นสูงสุดได้”
“งั้นเพราะอะไรล่ะ หรือเพราะว่าผมรักเค้าข้างเดียว”
“รักข้างเดียวเป็นความรักระดับต่ำจริง แต่ไม่ใช่ต่ำที่สุด”
“แล้วทำไมความรักของผมถึงจัดอยู่ต่ำสุด”
“เพราะเธอตายอย่างโง่ๆน่ะซิ เธอทำลายเรือนร่างที่มีคุณค่าอย่างไร้สาระ เธอถึงเป็นพวกเลิฟซี”
“ตายอย่างโง่ๆหรือ ผมยอมตายเพื่อคนที่ผมรัก เธอเรียกว่าตายแบบโง่ๆหรือ?”

นางฟ้าส่ายหน้าเหมือนกับว่าผมเป็นคนที่ไร้เดียงสาเสียจริง
“ถ้างั้นฉันจะถามเธอนะ เธอก็รู้อยู่แล้วว่าสู้พวกมันไม่ได้ ทำไมถึงไปสู้กับพวกมัน เธอสู้ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีประโยชน์อะไร แล้วเธอก็ตายเปล่า”
“แล้วจะให้ผมปล่อยให้พวกมันย่ำยีแคทเหรอ” ผมย้อนถาม
“เธอมีทางเลือกที่จะทำได้อีกหลายอย่าง แต่เธอไม่เลือก เธอทำลายตัวเองอย่างไร้คุณค่าที่สุด” เธอย้ำคำเดิมอีกครั้ง
“ผมไม่เห็นด้วย” ผมค้านเธอ
“เธอรู้ไหมว่า ชีวิตของเธอไม่ใช่ของเธอทั้งหมด เธอมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ... ต่อพ่อแม่ ต่อคนรอบข้าง พ่อแม่ของเธอต้องเสียใจ ใครจะเลี้ยงดูเวลาที่พวกเขาแก่เฒ่า และยังคนรอบข้างที่เธอมีโอกาสจะต้องเกื้อกูลอีก พวกเขาเสียโอกาสนั้นไป และที่สำคัญเธอรู้ไหม เธอจะต้องมีลูกอีกสองคน แต่พวกเขาหมดโอกาสที่จะเกิดแล้ว เพราะการกระทำโง่ๆของเธอ”

ผมใจหาย ผมไม่เคยมองเรื่องพวกนี้เลย แต่ข้อสำคัญ...
“ผมจะมีลูกได้ยังไง ผมเป็นทอม” ผมค้าน
“ฉันไม่รู้ แต่นั่นเป็นชะตาของเธอ ฉันมีอะไรจะบอกเธออีก มันสำคัญที่สุด เธอรู้ไหมว่าพวกเลิฟซีจะไม่ได้กลับไปเกิดอีก ยกเว้น…”
“ยกเว้นอะไร”
“ยกเว้นว่าเธอจะได้รับจูบจากคนรักที่มาจากหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักในระดับเดียวกับที่เธอมีให้”
ผมใจหายวูบ
“แต่...แต่..ผมจะทำได้ยังไง ตอนมีชีวิตผมยังทำไม่ได้เลย แล้วในสภาพแบบนี้ผมจะทำได้ยังไง”
“เธอถึงต้องมีพี่เลี้ยงยังไงล่ะ” นางฟ้าตอบ “เรามีเวลาสามเดือน”
“แล้วถ้าเลยกำหนดล่ะ”
“เธอก็ต้องอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป”

ผมหยุดเดิน เธอก็หยุดบ้าง นางฟ้ามองผมด้วยแววตาสงสัย ผมมองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะ เธออายุเท่าไหร่เนี่ย”
“อืมม เวลาของเรามันเทียบกันยากนะ แต่ถ้าจะคำนวณดูแล้ว ฉันน่าจะอายุสิบเจ็ดถ้าเทียบกับสเกลมนุษย์”
“ทำไมเขาไม่ส่งคนที่มีประสบการณ์ลงมาเป็นพี่เลี้ยงผม”
“ปกติก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่กรณีของเธอมันเป็นกรณีพิเศษ”
“พิเศษยังไง”
“ฉันขอเขาลงมาเอง เธอรู้ไม๊ว่าฉันเรียนได้ระดับ ไลเซนส์เอเลยนะ ถ้าเทียบก็ระดับเกียรตินิยมของพวกเธอนั่นแหละ ฉันทำคะแนนได้สูงอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ตอนนี้ใกล้จะจบแล้วล่ะ พอฉันไปขอ พวกผู้ใหญ่ก็คิดว่าน่าสนใจ เลยอนุญาตให้ฉันมาเป็นพี่เลี้ยงเธอนี่แหละ” เธอพูดอย่างภูมิใจ

“โอ้... แม่เจ้า เป็นเกียรติบัดซบเลยว่ะ นี่ผมเป็นวิทยานิพนธ์ของเธอหรือนี่ ถ้าผมไม่ได้ไปเกิด เธอจะรับผิดชอบยังไง”

เธอตบไหล่ผมเหมือนจะแสดงความเห็นใจในโชคร้ายของผม
“อย่าตกใจไปเลย จากสถิติของเรา 99.99999999999% ของพวกเลิฟซีจะได้ไปเกิดใหม่ หรือพูดง่ายๆว่า มีแค่สามรายเท่านั้นที่เราช่วยไม่สำเร็จ”
“ทำไม? เพราะอะไร?”
“เธออย่ารู้เลยน่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายใจเปล่าๆ”
“ทำไมล่ะ? ถ้าผมรู้จะได้เตรียมระวัง หาทางป้องกันข้อผิดพลาดไว้ล่วงหน้า”
“เธอป้องกันไม่ได้หรอก”
“ทำไม?”
“อยากรู้จริงอ่ะ”
“บอกมาเถอะน่ะ”
“ก็ได้ สามรายนั้นมีข้อเหมือนกันอยู่อย่างคือ ทั้งสามมีพี่เลี้ยงเป็นพวกนักศึกษาที่ไม่มีประสพการณ์น่ะซิ แบบว่าไปขออนุญาตพวกผู้ใหญ่ลงมาน่ะ”
ผมมองเธอตาค้าง
“บอกแล้วไงว่ารู้แล้วจะไม่สบายใจ” เธอพูดหน้าตาเฉย


เลิฟซี บทที่ 4 รุ่นพี่บ้ากามกับแผนอันชั่วร้าย

“เดี๋ยวๆ ขอถามหน่อย มีเลิฟซีกี่คนที่มีพี่เลี้ยงเป็นเด็กฝึกงานน่ะ”
“นับไปนับมา รู้สึกว่าจะได้สามคนพอดี”
“งั้น...งั้นก็หมายความว่า สถิติของคนที่มีพี่เลี้ยงเป็นเด็กฝึกงานแล้วทำได้สำเร็จก็คือ 0.00 % น่ะซิ”
“เป๊ะเลย! เธอฉลาดมาก”
“ผ ม ข อ เ ป ลี่ ย น ตั ว พี่ เ ลี้ ย ง” ผมร้องตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง
“ไม่ได้” เธอดุผมเสียงเขียว
ผมกัดฟันกรอดๆ คิดในใจอย่างเคียดแค้น
(คอยดูถ้าฉันกลับไปเกิดไม่ได้ ฉันจะปล้ำเธอ อย่าคิดว่าจะหนีกลับไปได้อย่างลอยนวลนะ)
“ตกลง” นางฟ้าพูดหน้าแดง
“ตกลงอะไร” ผมงง
“ฉันรับปากเธอ ถ้าฉันช่วยให้เธอไปเกิดไม่ได้ ฉันจะไม่กลับขึ้นไปอีก ฉันจะอยู่กับเธอที่นี่ จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ...”
“ตลอดไปเลยหรือ?” ผมถามเบาๆ
“ตลอดไป” เธอพยักหน้า
“สัญญา”
“ฉันให้สัญญา”
เธอตอบเสียงนุ่มนวลพร้อมกับเอามือนุ่มๆมากุมมือผมไว้ ผมเห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตาคู่งามของเธอเป็นครั้งแรก
“มั่นใจขนาดนี้เชียวหรือนี่”
“แน่นอน ถ้าฉันพลาดฉันก็พร้อมที่จะรับผิดชอบ พอใจไหม?”
“ใจถึงชิบเป๋งเลยว่ะ”
เอาวะ ไหนๆเธอก็บ้าดีเดือดขนาดนี้ ผมจะต้องกลัวอะไรอีก

“ไปกันเถอะ รถมาแล้ว”
เธอพูดพร้อมกับฉุดมือผม ทันใดผมก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ร่างกายราวกับโดนไฟจากดวงอาทิตย์เผาไหม้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากดูดเข้าไปอยู่ในรถคันหนึ่ง ผมเสียววูบ หูอื้อ ตาพร่า แล้วจากนั้นจึงค่อยๆกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพียงวูบเดียวเท่านั้น

“อูยย เสียววว ทีหลังจะทำอะไรแบบนี้ช่วยบอกให้ตั้งตัวกันหน่อยนะ” ผมบ่นพึมพำ แต่นางฟ้าหัวเราะคิก
“บอกก็ไม่หนุกดิ” เธอพูด

“มึงว่าไอ้บุ้งมันโง่หรือมันบ้ากันแน่วะ”
เสียงผู้ชายดังขึ้น ชื่อผมนี่นา เสียงก็คุ้นๆด้วย ผมเริ่มสำรวจคนในรถ... อ้าวนี่มัน ไอ้พี่กบ พี่ไก่ พี่เร พวกรุ่นพี่บ้ากามปีสองนี่นา นี่ผมมาอยู่บนรถของพวกนี้หรือ

พี่กบนั่งประจำตำแหน่งคนขับและเป็นคนพูดเมื่อสักครู่ พี่ไก่นั่งอยู่ข้าง พี่เรนั่งอยู่ข้างหลัง ผมกับนางฟ้าก็นั่งอยู่ข้างหลังด้วย ร่างของผมอยู่บนเบาะและซ้อนอยู่กับร่างของพี่เร มันเป็นสภาวะที่แปลกมาก เพราะราวกับพี่เรไม่มีตัวตน เพราะร่างของผมแทรกอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับเขา เราเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระในสภาพที่ซ้อนกันโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย

“กูว่าทั้งสองอย่างนั่นแหละ แถมเพิ่มให้อีกอย่างทำเป็นฮีโร่อวดสาว”
“ไม่ประมาณตัว ก็สมควรตายแล้ว”
“แต่เสียดายนะ สงสัยมันยังไม่เคยลองของจริง ที่จริงมันก็น่ารักดีเหมือนกัน ขาวดีด้วย น่าจะให้พวกเราเล่นกันซักคนละทีสองทีก่อนตาย จะได้รู้จักเพศของตัวเองเสียที”
ผมหน้าชา
“นั่นดิ กูว่าดับซ่าไอ้บุ้งก็ได้อารมณ์ดีเหมือนกัน เสียดาย มาตายแบบโง่ๆ อดรู้รสชาติผู้ชาย”
“หยุดพูดถึงมันดีกว่าว่ะ เดี๋ยวมันมาหักคอเอา”
“เอ๊ะ อย่าบอกนะว่ามึงกลัวผี”
“ไม่กลัวโว๊ย แต่ไม่ชอบพูดถึงผี พูดเรื่องน้องแคทดีกว่า okไม๊วะ?”
“ชัวร์ จ่ายเงินให้น้องกิฟท์ไปแล้ว ไอ้เปี๊ยกก็รออยู่ที่บ้าน คืนนี้ได้สนุกกันยันรุ่งแน่”

ผมสะดุ้งนี่พวกมันวางแผนจะทำอะไรแคทกันหรือ ผมหันไปมองนางฟ้า... พี่เลี้ยงแสนสวยของผม เธอยักไหล่เหมือนไม่สนใจ

“อยากรู้จังหน้าอกน้องแคทจะนุ่มแค่ไหนน๊ะ ยอดมันคงเป็นสีชมพู” ไอ้พี่ไก่พูดหื่นๆ
“คงเป็นเม็ดเล็กๆน่ะ”
“เดี๋ยวกูทำให้บานขึ้นมาเอง”
“ไอ้บ้า ฉันจะหักคอแก” ผมคำรามตามสัญชาตญานของคนที่รับรู้มาตลอดว่าการหักคอมนุษย์คือคุณสมบัติ มาตรฐานของผีทุกตัวที่จะต้องทำได้ ดังนั้นผมจึงเงื้อมือทั้งสองตะปบไปที่ต้นคอของมัน แต่วืด มือของผมหายไปในลำคอของพี่ไก่ไปเฉยๆ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“หยุดทำอะไรงี่เง่าเสียที” นางฟ้าพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
“เธอได้ยินแล้วนี่ พวกไอ้บ้านี่มันจะรุมข่มขืนแคท เราต้องช่วยเธอ”
“นั่นไม่ใช่งานของพวกเรา”
“อะไรนะ” ผมอุทานอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“หน้าที่ของฉันคือทำให้เธอพ้นสภาพเลิฟซี ฉันไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนชะตากรรมของมนุษย์”
“แต่ผมยอมไม่ได้ ผมจะต้องช่วยแคท ถึงจะต้องตายก็ยอม”
“ตลกจัง! เธอมีอยู่ชีวิตเดียว และเธอก็ใช้มันไปกับเรื่องโง่ๆนี้แล้ว เธอไม่มีชีวิตเหลือที่จะมาตายเพราะใครอีก เลิฟซี”


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #1 on: January 26, 2010, 11:21:06 am


เลิฟซี บทที่ 5 ผมจะทำยังไงดี?

“ถามอะไรอีกหน่อยได้ไม๊”
“พูดมาซิ”
“ผมช่วยแคทได้สำเร็จหรือเปล่า” ผมถามเบาๆ
“หมายถึงก่อนที่เธอจะตายน่ะหรือ เลิฟซี”
“ใช่ เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผม...ตายแล้ว”
“ผู้ชายสองคนนั่นหนีไป มันยิงเธอเสร็จแล้วก็หนีไป”
“งั้นก็หมายความว่าผมช่วยแคทได้สำเร็จ” ผมพูดอย่างตื่นเต้น
“ใช่” เธอพยักหน้า
“ถ้างั้นผมก็ไม่ได้ตายเปล่าหรอก” ผมพูดอย่างดีใจ แต่ดีใจได้แค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะนึกได้ว่า แคทยังไม่พ้นอันตราย ไอ้รุ่นพี่สามคนนี้มันกำลังวางแผนชั่วร้ายอยู่

เรานั่งกันไปเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงพี่กบ พี่ไก่ พี่เรพูดกันหยาบคายตามประสาผู้ชายมาตลอดทาง แล้วรถก็เลี้ยวเข้าไปในวัด จอดนิ่งอยู่บริเวณลาดจอดรถ แล้วพวกรุ่นพี่ก็ลงไปจนหมด เหลือผมกับนางฟ้าสองคน

“ไปช่วยแคทกันนะ” ผมอ้อนวอนเธอ
นางฟ้าหันไปมองนอกหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ไม่ยอมพูดคุยหรือสบตากับผม
“เธอใจร้ายขนาดนี้เชียวหรือ” ผมตัดพ้อ
เธอเฉย ไม่สนใจผมเลย...
ผมถอนใจ เดินลงจากรถ ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูหรอก ผมเดินทะลุออกมาได้สบาย…

ผมเดินไปในความมืด ถอนหายใจด้วยความอัดอั้น นับจากที่ผมรู้จักกับนางฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องเดินอย่างโดดเดี่ยวตามลำพังโดยไม่มีนางฟ้าเดินตาม มาด้วย ตอนนี้ผมรู้สึกอ้างว้างอย่างแท้จริงแล้ว...

...ผมจะทำยังไงดี ทำไมพวกผีที่ผมรู้จักไม่ว่าจะเป็นแม่นาค จูออน ไคโร่ ชัตเตอร์หรือแม้กระทั่งเจ้าบี๊ทเทิ่ล จุ๊ย แต่ละตัวมันช่างมีอิทธฤทธิ์ร้ายกาจกันทั้งนั้น แต่ผมไม่มีอะไรเลย จะสัมผัสตัวกับมนุษย์ก็ไม่ได้ พูดก็ไม่มีใครได้ยิน ผมคงเป็นผีที่น่าสมเพชที่สุดในโลก แล้วผมจะช่วยแคทได้ยังไง นางฟ้าต่างหากที่ช่วยได้ แต่เธอไม่ยอมช่วย เป็นนางฟ้าประสาอะไรกันไม่มีความเมตตาปราณีเลย เอาแต่บอกว่าเปลี่ยนชะตากรรมของมนุษย์ไม่ได้ บ้าจริงๆ ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะมีกฎที่ไร้มนุษยธรรมแบบนี้

ผมเดินมาจนถึงศาลา รู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นรูปของผมตั้งอยู่ เป็นรูปขาวดำก็จริง แต่ถ้าใครดูให้ลึกซึ้งก็จะพบว่าหล่อเหลาไม่ใช่เล่น... พวงหรีดตั้งอยู่เรียงรายเต็มไปหมด พระทุกรูปล้วนแต่นั่งหลับตาสวดมนต์เสียงยานคราง แต่มีอยู่รูปหนึ่งที่ดูจะแก่พรรษาที่สุดลืมตามองมาทางผมด้วย แต่แค่แวบเดียวแล้วท่านก็หลับตาไป ผมว่าท่านต้องเห็นผมแน่ๆ ... ผมเห็นแม่ของผมแล้ว ผมไม่กล้าเดินไปใกล้ๆ ผมรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมขอโทษครับแม่ ผมคิดอยู่ในใจน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ผมสอดส่ายสายตาไปยังเก้าอี้ที่ตั้งเรียงกันเป็นแถว แล้วผมก็เห็นแคท เธออยู่ในชุดนักศึกษานั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ เธอพนมมือไหว้ขณะที่ฟังพระสวด โอ...แคทร้องไห้ด้วย... ผมตาไม่ฝาดหรอก เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา เธอร้องไห้เพราะผม! เธอร้องไห้ให้กับผมจริงๆ... ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ มีคนอื่นนั่งอยู่บนเก้าอี้อยู่แล้วแต่ผมไม่สนใจ เพราะผมนั่งซ้อนกับคนอื่นได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว ผมมองใบหน้าแคทที่คิดถึงด้วยตาที่พร่าเลือนด้วยน้ำตา…

“อย่าร้องไห้ซิแคท ผมอยู่นี่แล้ว”

ผมพูดทั้งๆที่เธอไม่ได้ยิน อยากจะ จูบเพื่อลบรอยน้ำตาบนใบหน้างามของเธอ แคทสวยเหลือเกิน ยิ่งอยู่ในระหว่างเสียใจอย่างนี้ยิ่งดู สวยซึ้ง เปราะบางน่าทะนุถนอมที่สุด ใจผมเต้นแรง เลือดสูบฉีดเสียวซ่านไปทั้งตัว ผมบรรจงจุ๊บแก้มเธอเบาๆ แล้วผมก็สะดุ้ง เพราะบังเอิญหางตาของผมเหลือบไปเห็นพระที่แก่พรรษารูปนั้นลืมตามองมาทางผม อีกแล้ว ผมรีบถอนปากออกจากแก้มของแคท แล้วยิ้มแห้งๆให้พระรูปนั้น ผมว่าท่านคงงงว่าทำไมผีเจ้าภาพมาทำอะไรแปลกๆกับแขก เด็กผู้หญิงยุคนี้ชอบทำอะไรพิลึก... แล้วท่านหลับตาบริกรรมคาถาเสียงยานครางต่อไป...

ผมหันกลับมาอีกครั้ง คราวนิ้เพิ่งจะสังเกตเห็นคนที่นั่งติดกับแคทก็คือกิ๊ฟท์นั่นเอง อารมณ์ผมร้อนเร่าด้วยความโกรธ กิฟท์เป็นเพื่อนรักของแคท กิฟท์สวยน่ารัก ตากลมแป๋วดูไร้เดียงสา... เธอสนิทกับแคทยิ่งกว่าที่แคทสนิทกับผมเสียอีก แต่เธอหักหลังเพื่อน ผมไม่อยากเชื่อว่ากิฟท์จะเป็นคนแบบนี้ไปได้ แต่ไอ้รุ่นพี่สามคนนั้นพูดชัดเจน โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย ถ้าจะมีใครสักคนต้องโดนขืนใจมันน่าจะเป็นกิฟท์ ไม่ใช่แคทผู้แสนดีไม่ใช่หรือ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่ผมร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ ผมมองไม่เห็นวิธีที่จะช่วยคนรักเลย ...ผมจะทำยังไงดี?

(เธอมีอยู่ชีวิตเดียว และเธอก็ใช้มันไปกับเรื่องโง่ๆแล้ว เธอไม่มีชีวิตเหลือที่จะมาตายเพราะใครอีก เลิฟซี)
คำพูดของนางฟ้าดังอยู่ในหูของผม...

ผมจนมุมแล้ว…


เลิฟซี บทที่ 6 คนสวยแย่แล้ว

แล้วก็ถึงเวลากลับ ทั้งหมดพากันเดินออกมาจากศาลา ผมยิ่งร้อนรนหนักขึ้นทุกที
“แคท กิ๊ฟท์ เดี๋ยวพี่ไปส่งนะกลับทางเดียวกันพอดี” พี่กบเริ่มแผนอุบาทว์แล้ว
แคทยังไม่ทันตอบ กิ๊ฟท์ก็รีบพูดขึ้นทันที
“ดีค่ะ ดึกยิ่งหารถยากอยู่ กิ๊ฟท์ไม่อยากนั่งแท็กซี่ด้วย”

แคทไม่ปฎิเสธเพราะเธอไม่คิดว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ก็เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคณะเดียวกันทั้งนั้นไว้ใจกันอยู่แล้ว
พี่กบ นั่งประจำที่คนขับเหมือนเคย พี่ไก่นั่งข้างหน้า แล้วแคทนั่งตรงกลางด้านหลัง มีกิ๊ฟท์กับพี่เรนั่งประกบอยู่ด้านข้าง

“เสร็จ เสร็จแน่ๆ ทำไมไว้ใจคนง่ายอย่างนี้นะ” ผมต่อว่าแคทในใจ ทั้งๆที่ถ้าผมเป็นแคทผมก็ไม่นึกระแวงเหมือนกัน
“นางฟ้าอยู่ไหน... นางฟ้าอยู่ไหน....” ผมหันซ้ายหันขวาหาที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของผม โอ๊ย... แคทต้องแย่แน่ๆ

ตอนนี้รถแล่นออกจากวัดแล้ว...
“แคทพวกนี้มันจะหลอกเธอ ได้ยินไหม ได้ยินไหม ลงจากรถซะ”
ผมแหกปากตะโกนที่ข้างหู พยายามเขย่าตัวเธอ พยายามเพ่งกระแสจิต ผมทำทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้ แต่ไม่มีสัญญานอะไรแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผมจะได้ผล

“ไปส่งใครก่อนดี?” พี่กบถามลอยๆ
“ส่งกูก่อนละกัน กูจะไปค้างบ้านไอ้เปี๊ยก” พี่เรพูด
“ตกลง” พี่กบรับคำอย่างรู้กัน “แคท พี่ไปส่งพี่เรก่อนนะ บ้านไอ้เปี๊ยกมันอยู่ใกล้ๆ”
“ได้ค่ะ” แคทรับคำอย่างซื่อๆ หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายทุกทีแล้ว

แล้วรถก็ไปถึงบ้านพี่เปี๊ยก พร้อมๆกับหัวใจที่ห่อเหี่ยวของผม ความหวังที่จะช่วยแคทน้อยลงไปทุกที
พี่เรลงจากรถไปก่อน พี่กบทำท่าจะออกรถ แต่กิ๊ฟท์ร้องห้ามไว้
“เดี๋ยวค่ะพี่เร กิ๊ฟท์ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้มั๊ยคะ”
“เอาซิ” พี่เรพูด
“พี่รออยู่ในรถละกัน เร็วๆนะ” พี่กบทำเป็นแกล้งพูด
“แคท ไปเป็นเพื่อนหน่อยซิ” กิ๊ฟท์ชวน
“เอ๋! แค่นี้ก็ต้องเป็นเพื่อนด้วยหรอ”
“เหอะน่า”
“ก็ได้ ยุ่งจัง ทนหน่อยก็ไม่ได้... เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” แคทรับปาก แต่ก็ไม่วายบ่นเพื่อน

แล้วทั้งคู่ก็ลงจากรถ พี่ไก่ตัวแสบลงตามมาด้วย
“อ้าว พี่ไก่ไม่รอในรถเหรอคะ” แคทถาม
“พี่จะเข้าห้องน้ำเหมือนกัน” พี่ไก่ว่า
“ถ้างั้น กูก็เข้าด้วย” ไอ้พี่กบว่า
คราวนี้พวกรุ่นพี่บ้ากามลงจากรถกันหมดเลย.... แย่แล้ว แย่แล้ว

พี่เรเดินนำหน้า แคทเดินคู่กับกิ๊ฟท์ตามหลังพี่เรไป ชุดนักศึกษาของแคทนั้นเป็นชุดรัดรูป กระโปรงสั้นสีดำเลยเข่า พี่กบกับพี่ไก่ที่เดินตามหลังมองช่วงขาขาวเพรียวยาวของเธอตาเป็นมันเลย

พี่เปี๊ยกออกมายิ้มทักทายอยู่ที่ประตู
"หวัดดีจ้ะ กิ๊ฟ แคท มาด้วยเหรอนี่"
“กิ๊ฟท์ ขอเข้าห้องน้ำหน่อยค่ะ พี่เปี๊ยก”
"ได้จ้ะ อยู่เลยบันไดด้านซ้ายน่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แคทไปนั่งคอยกิ๊ฟท์ข้างในก่อนนะ" กิ๊ฟท์พูด
"เร็วๆหน่อยนะกิ๊ฟท์ ดึกแล้ว แคทง่วงด้วย"
"แป๊บเดียวน่ะแคท ไม่เกินห้านาที"

แคทเข้าไปรอในห้องรับแขก รวมทั้งพี่กบ พี่ไก่ พี่เรด้วย
“ดื่มน้ำส้มก่อนนะแคท” พี่เปี๊ยกเอาน้ำส้มมาให้
ผมนึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที
“ขอบคุณค่ะ”
“อย่าดื่ม แคท” ผมตะโกนที่ข้างหูเธอ

แน่นอน ที่แคทไม่ได้ยินเสียงผม เธอจิบน้ำส้มไปอึกนึง
“วางลงแคท อย่าดื่ม วางลง” ผมร้อง

แต่เธอก็ยังจิบต่อไป บรรดารุ่นพี่มองแคทเขม็ง... พักเดียวผมก็เห็นแคทเอนกายพิงโซฟา พึมพำออกมา

"ปวดหัวจัง"

นัยน์ตาของแคทหรี่ลงเหมือนกับจะหลับลงไป แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอพยายามจะฝืนลืมขึ้น ตอนนี้แก้มของเธอแดงซ่านเลย ผมใจหายวูบเมื่อเห็นกิ๊ฟท์เดินออกจากห้องมาโดยมีกล้องวีดีโออยู่ในมือ

"กิ๊ฟท์เอากล้องมาทำไมน่ะ" แคทถามเสียงเบลอๆ
“เอามาถ่ายแคทน่ะซิ อุตส่าห์มาบ้านพี่เปี๊ยกทั้งที พี่เค้าก็ต้องอยากถ่ายเก็บไว้แน่ๆ ใช่มั้ยคะพี่เปี๊ยก”
“ใช่ น้องกิ๊ฟท์นี่รู้ใจพี่เปี๊ยกจริงๆ ส่งกล้องมาให้พี่ซิ พี่ถ่ายเอง” พี่เปี๊ยกพูด
กิ๊ฟท์ส่งกล้องให้กับพี่เปี๊ยก

แคทไม่ได้พูดอะไร ดวงตาที่หรี่ปรือของเธอหลับพริ้มไป พี่กบนั่งลงประกบที่ด้านข้าง เอามือโอบไหล่ของเธอ อีกมือวางบนกระโปรงนักศึกษา มือของพี่กบลูบไปบนกระโปรงเบาๆ พวกรุ่นพี่คนอื่นหัวเราะกันครืน

“ไอ้บ้า เอามือสกปรกของแกออกไปจากแคทนะ” ผมตะโกน...ร้องไห้ออกมาอย่างหมดท่า “นางฟ้า นางฟ้าอยู่ที่ไหน มาช่วยแคทที ได้โปรด..”
ไม่มีเสียงตอบมาจากนางฟ้าใจร้าย

“น้องกิ๊ฟท์ไปรอห้องนั่งเล่นดีกว่ามั้ย” พี่เปี๊ยกพูดเมื่อเห็นเธอยังยืนอยู่ข้างๆ
“กิ๊ฟท์ขอดูได้มั้ยคะ”
พี่เปี๊ยกหัวเราะ
“ตามใจ ศึกษาไว้ก็ดีจะได้ไปสอนแฟน”

บรรดารุ่นพี่พากันหัวเราะชอบใจ กิ๊ฟท์หน้าแดงซ่าน พี่กบจับขาเรียวงามของแคทพาดตัก หัวเราะเสียงหื่น เลิกกระโปรงของเธอไปถึงหน้าท้อง ... พี่เปี๊ยกกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ เสียงดังเป็นระยะอยู่ตลอดเวลา....


เลิฟซี บทที่ 7 ปาฎิหารย์ไม่มีจริง?


แคทมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอพยายามลืมตาขึ้นมองดูพี่กบ ถ้าเป็นปกติพี่กบคงถูกเธอตบหน้าหัน หรืออย่างน้อยเธอก็ต้องร้องโวยวายไปแล้ว แต่ตอนนี้มีเพียงเสียงครางรอดออกมาจากริมฝีปากงามอย่างแผ่วเบาเท่านั้น

"ชอบมั้ยน้องแคท พี่กบทำอย่างนี้ชอบมั้ย" พี่กบกระซิบ
“อย่า ค่ะ พี่กบ..อย่าทำแคท..พี่กบ”

แคทร้องห้าม สะบัดหน้า พยายามรั้งสติเอาไว้แต่มันเหลือน้อยลงไปทุกที สัญชาติญาณบอกว่า เขากำลังลวนลามเธอ แต่ความรู้สึกเสียวซ่านจากน้ำส้มแก้วนั้นบวกกับการที่พี่กบพยายามปลุกอารมณ์ ทำให้เธอบิดกายไปมาอย่างเสียวซ่าน นอกจากเสียงร้องห้ามเบาๆเมื่อสักครู่แล้วก็ไม่มีการขัดขืนใดๆแม้แต่น้อย พี่กบตาลุกวาว แสดงอาการหื่นกระหายอย่างเห็นได้ชัด เขากวาดตามองช่วงขาตั้งแต่ปลายเท้า น่อง ต้นขาขาวอวบไปจนถึงอันเดอร์แวร์สีขาวสะอาดของเธอ

“น้องกิ๊ฟท์ดูไว้นะ”

พี่กบพูด จากนั้นมือของเขาก็เคลื่อนไปบนท้องน้อยแล้วเลื่อนต่ำลง.. คลึงไปมาเบาๆ ถึงตอนนี้แคทดูเหมือนว่าจะปล่อย อารมณ์ให้กระเจิดกระเจิงไปกับพี่กบแล้ว เธอแหงนหน้าหลับตาพริ้มพร้อมกับแอ่นท่อนล่างรับการเคล้นคลึงนั้นอย่างรัญจวน ใจ ริมฝีปากบางเผยอครวญครางอย่างกระสันซ่าน พี่ไก่ตามลงไปนั่งข้างๆพร้อมกับจับเธอให้หันหน้ามาหา ขยี้ริมฝีปากบดจูบแลกลิ้นเสพสัมผัสความหอมหวานอย่างดูดดื่ม

ผมมองอย่างเจ็บปวดมือกำแน่นอย่างลืมตัว

“นางฟ้า... นางฟ้าช่วยด้วยเถิด จะให้ผมทำยังไงก็ยอม”

คำวิงวอนของผมลอยหายไปในอากาศที่ว่างเปล่า ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง เพราะไม่มีทางที่จะทำอะไรได้อีก ผมซบหน้าลงกับเข่าของตัวเอง ไม่อยากดูแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเงยหน้าขึ้น ผมหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์.. ปาฏิหาริย์ที่จะช่วยให้แคทรอดออกไปได้ แต่มันเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆจะมีจริงได้อย่างไร...

พี่กบกระชากอกเสื้อของแคทเต็มแรง กระดุมเสื้อหลุดกระจาย เผยให้เห็นช่วงลำตัวที่ขาวนวลเนียน... บราสีขาวโอบอุ้มบัวคู่งามที่เต่งตั้งได้รูปนั้นเอาไว้อย่างเย้ายวนใจ พี่ไก่ช่วยพี่กบถอดเสื้อนักศึกษาของแคทออก แล้วพี่ไก่ก็ลูบไล้เนื้อตัวของเธอไปมาเบา ๆ แคทไม่ปิดป้องเลยปล่อยให้รุ่นพี่ทั้งสองลูบคลำจับเนื้อต้องตัวตามใจชอบ พี่กบค่อย ๆ ก้มลงหอมและจูบตามข้างใบหูลงมาถึงลำคอ

“หอมจังเลยแคท” พี่กบพูด
“ตัวก็นุ๊มนุ่ม”
พี่ไก่เสริมพร้อมกับค่อย ๆ ลูบขาแคทขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งสองลวนลามไปวิจารณ์เธอไปอย่างสนุกสนาน

พี่เปี๊ยกยังสนุกอยู่กับการถ่ายรูป
“อย่าบังกล้องโว๊ย...กบ หลบหน่อยๆ เออ หยั่งงั้น”

พี่เปี๊ยกกดชัตเตอร์รัวถี่ยิบ ทรวงอกของแคทที่ตอนนี้มีเพียงบราตัวน้อยห่อหุ้มอยู่ถูกพี่กบ พี่ไก่เฟ้นฟอนอย่างสนุกมือ แล้วพี่ไก่ก็ล้วงเข้าไปในบราขยำทรวงอกเธอเบา ๆ พี่กบใช้มือลูบขาผ่านชั้นในเนื้อบาง จากนั้นก็ก้มลงฝังหน้าลงไปกับเนินอกอูม แคทร้องครางออกมา มือของพี่กบค่อย ๆ ลูบไปบนกางเกงใน แล้วก็ค่อย ๆ กรีดนิ้วลากไปตรงกลางจนถึงด้านล่าง แคทถึงกับบิดตัวร้องครางเสียงสั่น...

ผมก้มหน้าลงซุกกับเข่าของตัวเองอีกครั้งได้ยินแต่เสียงแคทร้องครวญครางดัง ปะปนอยู่กับเสียงแอร์ที่ดังเบาๆ เสียงชัตเตอร์ยังดังลั่นตลอดเวลา...

"อือ..อือ..อา.." เสียงร้องครางของแคทบาดหัวใจของผมยับเยิน...

ทันใดนั้นผมก็ได้กลิ่นหอมรวยรินโชยมาเข้าจมูก กลิ่นที่ผมเพิ่งจะคุ้นเคยเมื่อไม่นานมานี้...
“ไปกันเถอะบุ้ง อย่าอยู่ที่นี่เลย” เจ้าของเสียงนั้นพูดเบาๆ
ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอเขย่าอย่างรุนแรง
“ช่วยแคทเดี๋ยวนี้” ผมตะคอกใส่เธอ
นางฟ้าส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันทำไม่ได้”
“ทำไม่ได้? เพราะกฎบ้าๆของเธอนั่นรึไง”
“ไม่ใช่กฏของฉัน... ฟังนะบุ้ง... อย่าว่าแต่ฉันเลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจมากกว่าฉันก็ไม่กล้าเปลี่ยนชะตากรรมของมนุษย์”
ผมปล่อยมือจากไหล่เธอ
“ไม่ช่วยก็ไปให้พ้น ไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีกต่อไปแล้ว” ผมตะคอกใส่หน้าเธอ
“ถ้าเราแก้ชะตากรรมของมนุษย์ มันจะมีผลกระทบต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ ไม่มีใครจะคาดเดาผลกระทบนั้นได้ มันอาจถึงขั้นสร้างความหายนะที่ยิ่งใหญ่ได้เลยด้วยซ้ำ” นางฟ้าพยายามจะอธิบาย
“ไม่ฟัง ไม่อยากฟัง ไปให้พ้นซะที” ผมฟุบหน้าร้องไห้อีกครั้ง
“อย่าทำอย่างนี้ซิ เธอต้องฟังฉันนะบุ้ง เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เชื่อเถอะว่าฉันจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอเสมอ..”เธอหยุดไปชั่วครู่เหมือนจะ ดูปฎิกิริยาของผม แล้วเธอก็พูดต่อ “ฉันหาร่างให้เธอได้แล้ว มีผู้หญิงเพิ่งเสียชีวิต สวยมากทีเดียว เก่งด้วย รวยด้วย เพอร์เฟคเลยละ เธอจะต้องไปใช้ร่างนั้น เราจะได้เริ่มต้นกันซะที”

ผมไม่ตอบ ผมหมดกำลังใจแล้ว ผมเงยหน้ามองไปที่โซฟา... พี่กบรูดกางเกงในของแคทลงจนหลุดออกจากปลายเท้า เขาฝังหน้าลงไปในส่วนนั้น น้ำตาของผมไหลพรากลงมาไม่ขาดสาย..

“ปล่อยเธอไว้อย่างนั้น เธอมีชะตากรรมของเธอ เราเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราจะทำให้ดีที่สุด”
“อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันบอกให้ไปให้พ้นไงล่ะ”

นางฟ้าถอนหายใจเบาๆ กลิ่นหอมรวยรินค่อยๆจางลง
เธอไปแล้ว...


เลิฟซี บทที่ 8 ปาฎิหารย์ไม่มี...จริงอ่ะ?

ผมเงยหน้าขึ้นอีกที พี่กบเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้ว กางเกงถูกปลดร่วงลงไปกองกับพื้น กางเกงในรูดตามลงไป...

...หรือชะตาของแคทจะต้องถูกข่มขืนจริงๆ ผมช่วยเธอไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็ต้องโดนข่มขืนอยู่ดี ผมได้เสียชีวิตไปเปล่าๆจริงๆหรือ”

แต่ก่อนที่ความหวังของผมจะดับวูบลง..

ปัง!

ประตูเปิดออกอย่างแรงราวกับถูกคนถีบ...
อา มันถูกคนถืบจริงๆด้วยแหละ
“ทุกคนอยู่นิ่งๆ อย่าขัดขืนนะ พวกเราจับให้หมด” บุรุษสีกากีคนที่ถีบประตูให้เปิดออกตะโกน แล้วผู้ชายในชุดเดียวกันอีกห้าหกคนก็กรูกันเข้ามา
“ชิบเป้งแล้ว ตำรวจ” พี่เรตะโกนหน้าซีด
แล้วความโกลาหลปั่นป่วนวุ่นวายก็เกิดขึ้น
ผมโห่ร้อง ตะโกนก้องด้วยความยินดี
ไอ้รุ่นพี่บ้ากามแตกกระจาย พยายามวิ่งหนี แต่ไม่รอด ทุกคนถูกจับได้หมด พี่กบยังไม่ทันนุ่งกางเกงในด้วยซ้ำ ตำรวจต้องช่วยใส่ให้เขาใส่หลังจากสวมกุญแจมือเรียบร้อยแล้ว
“เอาไปโรงพักทุกคน” หัวหน้าทีมสั่งสั้นๆ

ภายในห้องนอนของแคท
หลังจากกลับมาจากโรงพัก เธอก็อาบน้ำแล้วมานั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าสวยยิ้มระรื่น ดูไม่ออกว่าเพิ่งหายจากการถูกมอมยาเลย ท่าทางของแคทร่าเริงสดใสผิดจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
แอ๊ด...
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก
แล้วสาวสวยใบหน้าไร้เดียงสาก็เดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันกายเพียงผืนเดียว
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะแคท ปลื้มล่ะสิ ที่เอาพวกรุ่นพี่ตัวแสบเข้าคุกได้”
แคทยิ้มหวาน
“แคทแสดงเก่งไม๊กิ๊ฟท์”
“เนียนเลยล่ะแคท ขนาดกิ๊ฟท์ยังนึกว่าแคทโดนยาจริงๆซะอีก”
แคทปั้นหน้าดุใส่กิ๊ฟท์
“แต่ทำไมตำรวจถึงมาช้า กิ๊ฟท์จะแกล้งแคทใช่ไม๊”
“บ้าน่าแคท กิ๊ฟท์จะทำอย่างนั้นทำไม โรงพักมันไม่ได้อยู่ติดกันนี่ ก็ต้องใช้เวลาหน่อย กิ๊ฟท์ก็ลุ้นใจหายใจคว่ำเลยนะ หวุดหวิดจริง”
“พวกนั้นมันบอกจะสู้คดีนะ พ่อพี่กบมีอิทธิพลด้วย จะหลุดคดีไม๊นะ” แคทพูด
“ยาก มีรูปถ่ายชัดเจนขนาดนั้น พี่เปี๊ยกถ่ายเองด้วย นักข่าวก็อยู่ในเหตุการณ์ ติดคุกลูกเดียว จะกี่ปีเท่านั้นแหละ”
เมื่อพูดถึงภาพถ่ายแคทก็หน้าแดง
“เค้าเห็นแคทกันหมดเลย กิ๊ฟท์ไม่น่าให้พวกนั้นถ่ายเลย”
“เห็นไม่เท่าไหร่หรอกน่ะ ได้อย่างก็เสียอย่าง แบบนี้แหละเป็นหลักฐานมัดตัวให้ดิ้นไม่หลุด”
“กิ๊ฟท์ก็พูดได้ดิ ไม่ใช่ตัวเองนี่”
“เอ้า ก็พวกรุ่นพี่เค้าอยากได้แคทนี่นา ไม่อยากได้กิ๊ฟท์ซะหน่อย ไม่งั้นกิ๊ฟท์ยอมเป็นเหยื่อล่อก็ได้” กิ๊ฟพูดอย่างใจถึง หยุดไปนิดแล้วก็พูดต่อ “เอ้อ แคทถามหน่อยนะ ตอนนั้นแคทรู้สึกยังไง เสียวมากมั้ย”
แคทหน้าแดง
“เค้าไม่บอกหรอก”
“จะบอกหรือไม่บอก”
“ไม่บอก”
“ไม่บอกแน่นะ” กิ๊ฟท์เดินเข้ามากอด จี้เอวของแคท
“อย่านะกิ๊ฟท์ ไม่เอา” แคทหัวเราะคิกลุกขึ้นหนี แต่กิ๊ฟท์ไล่จี้เอวไม่หยุด แล้วทั้งคู่ก็ล้มลงไปบนเตียง

“อยากรู้ไม๊แคทว่า กิ๊ฟท์กับพี่กบใครเก่งกว่ากัน”
“ไม่อยาก” แคทตอบทันที
“ไม่เชื่อ” กิ๊ฟท์สวนทันควัน แล้วกิ๊ฟท์ก็พูดเบาๆ “กิ๊ฟท์ดูพี่กบมาแล้ว ให้กิ๊ฟท์ลองทำดูบ้างนะ”
ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากรูปกระจับของแคท เธอหลับตาพริ้มพยักหน้าอายๆ มือเล็กๆของกิ๊ฟท์ลูบไล้ไปมาเบาๆที่ทรวงอกเต่งตึงทั้งสองเต้าผ่านชุดนอน เนื้อบางซึ่งไม่มีอะไรอยู่ใต้นั้นนอกจากเนื้อแท้ๆ อีกมือหนึ่งของกิ๊ฟท์ก็ลูบไล้ลงไปที่กลางลำตัว ผ่านรอยแยกแล้วกรีดปลายนิ้วไปตรงนั้นอย่างนุ่มนวล
“กิ๊ฟ...กิ๊ฟ...” แคทครวญครางออกมาเบาๆทันที
“สู้พี่กบได้ไม๊แคท”
“ได้..ได้..” แคทครางเสียงกระเส่า
“เก่งกว่าหรือเปล่า”
“เก่งกว่าจ้ะ..กิ๊ฟท์เก่งกว่า” แคทตอบเสียงอ่อน ขาสั่นระริกหมดเรี่ยวหมดแรง

กิ๊ฟท์เบียดร่างเข้าไปหาช้าๆ อกอุ่นๆเบียดกระแซะอยู่ที่ลำตัวของแคท มือของแคทเริ่มที่จะตอบโต้ ลูบไปที่อกของกิ๊ฟท์บ้าง มือของแคทดึงผ้าเช็ดตัวหลุดออกอย่างง่ายดาย
“อุ๊ย” กิ๊ฟท์อุทานเบาๆ มือที่เคลื่อนไหวบนร่างแคทหยุดกึก
แคทกดมือบีบอกของกิ๊ฟท์เบาๆ เนื้อบริเวณนั้นดีดกลับขึ้นมาต้านแรงกดแสดงถึงความหยุ่นตึงแน่น
(น่าขยำจังเลย) แคทคิดอย่างมันเขี้ยว แต่เธอก็คลึงเบาๆ
“ดี ดีจังเลย แคท” เสียงของกิ๊ฟท์เพ้อพร่ำขึ้นมา “โอ.. แคททำดีเหลือเกิน กิ๊ฟท์ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้เลย”
“จริงเหรอ” แคทถาม
“จริงสิ”
“แคทไม่เชื่อหรอก”
“จริงๆนะ แคทคลึงนุ่มนวลดีจัง สบายอย่างบอกไม่ถูก”

แคทยิ้มอย่างได้ใจ ก้มลงงับที่ยอดเล็กๆสีชมพูที่ประดับอยู่บนทรวงอกได้รูปของกิ๊ฟท์ ดูดเม้มเบาๆ สลับกับใช้ปลายลิ้นดุนดัน แคทกดเน้นปลายลิ้นอย่างหนักหน่วง
“อึ๊ยยยยย ย ย ย” กิ๊ฟท์ร้องลั่น แต่ไม่ยอมถูกโจมตีข้างเดียว มือของกิ๊ฟท์เริ่มเคลื่นไหวอีกแล้ว นิ้วเล็กๆของเธอสอดแทรกเข้ามาในร่างของแคท ปลายนิ้วกระดิกไปมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเร่งความเร็วมากขึ้น แคทหน้าเบ้ สั่นระริกไปทั้งตัว มือที่คลึงทรวงอกของกิ๊ฟท์เปลี่ยนเป็นเกาะไหล่กิ๊ฟท์ไว้แน่น... ใบหน้างามแหงนเชิดขึ้น หอบหายใจแรง เสียงดังซี๊ดซ๊าด มือทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นจิกหัวไหล่ของกิ๊ฟท์อย่างลืมตัว

ขณะที่การต่อสู้ตรงหน้ากำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ใกล้จะถึงไคลแม๊กซ์ ผู้ชนะกับผู้แพ้กำลังจะปรากฏให้เห็น ทันใดนั้น ก็มีมือน้อยๆสองมือก็มาปิดตาของผมไว้ แถมผมรู้สึกมีอะไรอุ่นๆหยุ่นๆสองข้างทาบที่กลางหลังผมด้วย
“อย่าดู” เสียงหวานใสกระซิบอยู่ที่ข้างหูผม กลิ่นหอมที่ผมคุ้นเคยโชยเข้าจมูกอีกแล้ว


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #2 on: January 26, 2010, 11:22:43 am


เลิฟซี บทที่ 9 เธอไม่มีสิทธิเลือก!

“นางฟ้า” ผมเรียกเธอเบาๆ
มือคู่นั้นปล่อยออกจากใบหน้าของผม แล้วร่างของเธอก็เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า.. ขวางเอาไว้ไม่ให้เห็นแคทกับกิ๊ฟท์
“เรียกฉันว่า ฟ้าก็พอ”
“ฟ้า” ผมเรียกตามที่เธอบอก
“ดี...ตอนนี้ไปกันเถอะ”
“ไปไหน?”
นางฟ้าไม่ตอบคำถามผม... แต่ถามผมกลับ
“เธอคงไม่คิดจะแอบดูพวกเค้าไปทั้งคืนหรอกนะ”
“ไม่หรอก” ผมตอบหน้าแดง
“ถ้างั้นเราก็ไปกันได้แล้ว”

นางฟ้าพาผมเดินไปตามข้างถนนอีกครั้ง ตอนนี้มันดึกมาก เกือบจะตีสองแล้ว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงสายลมที่พัดเรือนผมของเธอปลิวไสว แม้รอบข้างจะเงียบเหงา แต่ผมรู้สึกอุ่นใจที่ได้เดินเคียงข้างนางฟ้าอีกครั้ง เธอเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่พูดคุยกับผมได้

“จะพาผมไปหาร่างใหม่หรือ”
“ใช่”
“ผู้หญิงรวย สวย เก่งที่ฟ้าบอกใช่มั้ย”
“ไม่ใช่! บุ้งพลาดโอกาสนั้นไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตนานเกินไป บรรดาญาติรู้กันหมดว่าเธอตาย ถ้าบุ้งไปเข้าร่างของเธอ พวกนั้นจะต้องสงสัย”
“ถ้างั้นมีคนอื่นเสียชีวิตอีกหรือ?”
“ถูกต้อง!จะมีคนเสียชีวิตตอนสิบโมงสี่สิบแปดนาที เธอจะต้องไปรอเข้าร่างของเค้าก่อนที่จะมีใครรู้ว่าเค้าเสียชีวิต เพื่อไม่ให้มีคนสงสัย”
“สิบโมงสี่สิบแปด! ตอนนี้ยังไม่ตีสองเลย แล้วเราจะไปไหนกัน”
“ตามมาเถอะ”

นางฟ้าพาผมมาที่สวนแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมนั่งบนม้านั่ง ส่วนเธอยืนอยู่ริมแม่น้ำ กรุงเทพไม่เคยหลับใหลจริงๆ ผมเห็นแสงไฟหลากสีส่องสว่างอยู่ในฝั่งตรงข้ามราวกับสีลูกกวาด และผืนน้ำก็สะท้อนแสงไฟเป็นประกายระยิบระยับ ผมมองด้านหลังของนางฟ้า ชุดของเธอบางเบาจนมองทะลุผ่านไปเห็นเส้นเว้าเส้นโค้งที่งดงามได้สัดส่วนอยู่ รำไร ลมพัดชุดบางๆของเธอปลิวสะบัดดูงดงามเกินกว่าที่จะหาคำบรรยายใดๆได้ ผมเหม่อมองดูเธออย่างเพลิดเพลิน แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ผมจะต้องทำเพื่อให้พ้นสภาพเลิฟซีหัวใจของผมก็หนักอึ้ง

“ฟ้า.. ฟ้าเชื่อจริง หรือว่าผมจะทำให้แคทจูบผมด้วยความรักที่แท้จริงได้ บอกตามตรงว่าผมยังไม่มั่นใจตัวเองเลย”
เธอหันกลับมาจ้องผม ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกับแสงกระพริบของดวงดาว
“เชื่อสิ ทำไมฉันจะไม่เชื่อ ถ้าฉันไม่เชื่อในตัวเธอ ฉันจะอาสาลงมาเป็นพี่เลี้ยงเธอทำไม”
“ทำไมล่ะ ทำไมเธอถึงมั่นใจฉันขนาดนั้น”
นางฟ้าเดินมานั่งข้างๆผม
“ทำไมน่ะหรือ?”
นางฟ้าทวนคำถามของผมเบาๆ เธอมองหน้าผมด้วยแววตาที่ประหลาด และผมต้องหลบตาเธออย่างลืมตัว

“ถ้ามีใครสักคนยอมเสียสละกระทั่งเสียชีวิตเพื่อฉัน แล้วทำไมฉันจะไม่รักเค้าล่ะ คิดดูว่าในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ยอมตายเพื่อคนอื่นได้ จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่จะมีคนรักที่เสียสละปานนั้น”

คำพูดของเธอทำให้หัวใจของผมพองโต ผมหันไปจ้องหน้าเธอ
“ถ้างั้นฟ้าก็ยอมรับล่ะซิ ว่าผมทำถูกต้อง ฟ้ายอมรับว่าความรักของผมเป็นรักที่แท้จริง ไม่ใช่รักโง่ๆ ไม่ใช่รักขั้นต่ำสุดแบบที่ฟ้าว่าผมตอนแรก”

คราวนี้เป็นเธอที่หลบตาผม
“อย่าเข้าใจผิด ฉันยอมรับว่าความรักของเธอยิ่งใหญ่ แต่ไม่เกี่ยวกับการกระทำ เพราะยังไงฉันก็มองว่าสิ่งที่เธอทำมันเป็นการทำแบบโง่ๆอยู่ดี”
“เธอกำลังพูดขัดกันเองนะฟ้า”
“เราอย่าเถียงกันเรื่องนี้เลย เธอถูกตัดสินแล้วว่าเป็นพวกเลิฟซี นั่นคือความจริง ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม”

เรานิ่งเงียบกันไปชั่วครู่…
แล้วผมก็เป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“คนที่ผมจะไปใช้ร่างเป็นใคร”
“เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในตอนนี้ หล่อ รวย มีเสน่ห์ เหมาะกับงานของเรามาก”
“ผู้ชายหรือ” ผมอุทานอย่างตกใจ “ผม...ผม ไปอยู่ในร่างผู้ชายไม่ได้”
“ทำไม?”
“ก็ผมไม่ใช่ผู้ชายจริงๆนี่ ผมจะไปอยู่ในร่างผู้ชายได้ยังไง แล้วผมก็..ผมไม่รู้เกี่ยวกับผู้ชายเลย ผมจะพูดยังไงดี แต่ผมไปอยู่ไม่ได้ ผมต้องโดนจับได้แน่ๆ”
“เธอไม่มีทางเลือกแล้วบุ้ง เธอต้องไปอยู่ร่างเขา เธอทำได้น่า... มันไม่ยากหรอก ฉันจะช่วย”
“ไม่มีคนอื่นเลยหรือ เรารออีกหน่อยดีกว่า”
“ไม่ได้! เราไม่มีเวลาพอ มีผู้หญิงตายหลายคนก็จริง แต่บางคนอยู่ไกลเกินไป บางคนแก่เกินไป บางคนตายโดยที่สภาพศพไม่สมบูรณ์ เราใช้ร่างคนเหล่านี้ไม่ได้ ผู้ชายคนนี้คือคนๆเดียวที่เราจะมีโอกาสทำสำเร็จมากที่สุด”
“แต่...”
“ไม่ต้องพูดแล้วบุ้ง เธอเคยมีโอกาสที่จะเลือกแต่เธอทำลายโอกาสนั้นเอง ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิเลือก และเธอก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว”

ผมไม่กล้าเถียงกับเธอ เพราะสิ่งที่เธอพูดนั้นถูกต้อง ผมทำลายโอกาสเลือกของผมเอง
นางฟ้ากุมมือของผมไว้ พูดเสียงนุ่มนวล
“อย่ากลัวเลยบุ้ง เธอมีฉันอยู่เคียงข้างเสมอ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดือดร้อน จำได้ไม๊ ที่ฉันบอกว่าจะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเธอ ฉันสัญญากับเธอแล้วไง”

ผมเกือบจะร้องไห้ออกมา ผมกำลังหมดความมั่นใจ แต่คำพูดของเธอช่วยดึงผมขึ้นมาจากความรู้สึกนั้น ผมเคยไล่เธอ เคยตะคอกเธอ แต่ในยามที่ผมเดือดร้อน เธอกลับยืนเคียงข้างผม ไม่ถือสากับความหยาบคายที่ผมทำกับเธอแม้แต่น้อย ผมตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก และก็ละอายใจเหลือเกิน

“จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะขอนอนหนุนตักเธอซักหน่อย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน” นางฟ้าพูด
“ได้ซิ” ผมตอบนุ่มนวล
เธอเอนกายหนุนตักของผม กลิ่นของเธอหอมกรุ่นจรุงใจ ผมก้มลงมองเธอ นางฟ้าหลับตาพริ้ม ในตอนนี้เธอเหมือนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น… ไม่เหมือนคนที่จะรับผิดชอบอนาคตของผมเลย
“ฟ้า” ผมกระซิบ
“หือ..”
“ถ้าฟ้าเป็นมนุษย์ ฟ้าจะรักผมใช่ไหม”
เธอเงียบไปชั่วครู่ เหมือนกับจะครุ่นคิด แล้วก็ตอบมาเบาๆ
“ใช่”
“แต่ฟ้าไม่ใช่มนุษย์”
“ฉันไม่ใช่” เธอรับคำ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“นางฟ้ามีความรักได้หรือเปล่า?”
“มี... แต่ไม่ใช่ความรักแบบชายหญิง”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ความรักแบบนั้นเกิดขึ้นกับมนุษย์โลกเท่านั้น พวกเราอยู่พ้นจากความรู้สึกแบบนี้”
“อ้อ” ผมรับคำเบาๆ

ผมไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เธอก็เช่นกัน เราอยู่กันอย่างเงียบๆ รอเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น เพื่อที่จะได้เริ่มงานสำคัญที่ผูกพันเราไว้ด้วยกัน...


เลิฟซี บทที่ 10 - นางฟ้า ฉันจะฆ่าเธอ!

10:40 นางฟ้าพาผมมาถึงตึกสูงลิบแห่งหนึ่ง เธอพาผมเดินเข้าไปข้างใน ผมกวาดตามองรอบข้างอย่างตื่นๆ อาคารหลังนี้หรูหราจริงๆ พื้นและผนังเป็นแกรนิตหรูหราสง่างาม การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ ดูแล้วต้องเป็นของมีระดับทั้งสิ้น

“ตึกหลังนี้เป็นของเธอแล้ว”
“ของผม?” ผมพูดอย่างงงๆ
“ใช่เธอเป็นเจ้าของทั้งหมด ขึ้นไปที่ห้องของเธอกันเถอะ”

นางฟ้าพาผมขึ้นลิฟท์ไปจนถึงชั้นบนสุด พอออกจารลิฟท์ก็เห็นห้องโถงกว้าง
“ชั้นนี้เป็นที่ทำงานของเธอทั้งชั้น”
“โห” ผมอุทาน ใจเต้นแรง ทั้งตื่นเต้นและหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
เธอพาผมเข้าไปในห้อง ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเปิดแฟ้มเอกสารอยู่ที่ตู้ติดกับผนัง ถึงไม่เห็นหน้าเธอแต่ดูจากรูปร่างแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่หุ่นดีคนหนึ่ง

“เลขาของเธอ”

นางฟ้าแนะนำ แล้วเดินต่อเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในอีกที ห้องนี้ใหญ่โตกว้างขวางหรูหรามากที่สุด ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกสูงตั้งแต่พื้นไปจรดผนังเห็นวิวของกรุงเทพเต็มที่ ชายคนหนึ่งฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะทำงาน ผมไม่เห็นหน้าเขา แต่สังเกตเห็นมือของเขาขาวสะอาดนิ้วเรียวงามไม่ผิดกับมือผู้หญิง นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยต้องทำงานหนักมาก่อน

“นี่แหละร่างใหม่ของเธอ เข้าไปสิงเลย”
“ผม... ผมทำไม่ได้หรอกฟ้า” ผมพูดอย่างกลัวๆ “ผมต้องโดนจับได้แน่ๆ”
“ไม่มีเวลาพูดแล้ว เข้าไปสิงเดี๋ยวนี้”
เธอสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดบอกให้รู้ว่าไม่มีการต่อรอง ผมจำใจนั่งลงไปทาบกับร่างเขา แต่มันก็แค่ซ้อนกันเหมือนเดิม...
“ไม่ใช่อย่างนั้น” นางฟ้าพูดขำๆ “ลุกขึ้นมาก่อน”
เธอดึงผมลุกขึ้นมา
“ต้องทำยังไงล่ะ” ผมถาม
“บอกว่า ฉันจะสิงนาย แล้วก็โดดลงใส่ร่างเขาเลย”
“แค่นี้เองหรอ”
“แค่นี้แหละ”

“ฉันจะสิงนาย” ผมตะโกนแล้วโดดผลุงลงไป
ทันใด ผมก็รู้สึกเหมือนร่างหลุดกระจายเป็นเสี่ยงๆอีกครั้ง หน้ามืด หูอื้อ ร้อนวูบวาบ แล้วค่อยๆรู้สึกว่าตัวหนักขึ้น ไม่เบาโหวงเหมือนเมื่อครู่ สติค่อยๆกลับคืนมาอีกครั้ง
ผมค่อยๆ ยันตัวออกจากโต๊ะ เอนหลังพิงเก้าอี้ที่แสนจะนุ่มสบายตัวนั้น สะบัดหน้าไล่ความมึนงงออกไป
“สำเร็จ” นางฟ้าตะโกน
ผมลูบคลำใบหน้าตัวเอง ลูบคลำหน้าอก แบนเรียบเลย
“ไม่มีแล้ว” ผมอุทาน
มือของผมลูบคลำต่อไป
ถึงตำแหน่งล่าง...ตรงนั้นแหละ!
“มีแล้ว!” ผมตะโกนหน้าร้อนวูบ
นางฟ้าหัวเราะคิก
“เธอทำงานไปนะ ฉันมีธุระ เดี๋ยวค่อยเจอกัน”
“เดี๋ยวซิ” ผมตะโกน
ไม่ทันแล้ว นางฟ้าหายตัวไปตามเคย

“บ้าจัง” ปล่อยผมอยู่คนเดียวได้ยังไง
ไม่ทันที่ผมจะทำอะไร ประตูห้องก็เปิดออก เลขาผมคนนั้นนั่นเอง
โอ้โฮ สวยย ย ย
(พี่สาวค๊าบบบ ผมขอสมัครเป็นแฟน)
อ้า...ผมคิดในใจเฉยๆอ่ะคับ ใครจะกล้าพูดล่ะ

“คุณจักรคะ บีเอาเอกสารมาให้เซ็น”
พี่สาวคนสวยพูด แล้วส่งเอกสารปึกหนึ่งมาให้ ผมรับมา แต่หัวใจแทบกระเด็นออกมาจากอก
“มากขนาดนี้เชียวหรือ”
เธอทำหน้างงๆ
“ก็เท่ากับทุกวันนี่คะ”
“เอ้อ ผมขอตรวจดูก่อนนะ คุณออกไปก่อน”
“เอ๋?”
“ทำไมเหรอ?”
“เอกสารปกตินี่คะ ทุกทีก็เซ็นให้บีเลยไม่ใช่เหรอ?”
“แต่วันนี้ผมอยากดูนี่ เดี๋ยวคุณค่อยมาเอานะ”
“ค่ะ”
เธอรับคำ มองผมอย่างแปลกใจแล้วเดินออกไปจากห้อง ผมใจเต้นแรง
“ตายห่าแล้วเราจะเซ็นได้ไง หมอนี่เซ็นยังไงก็ไม่รู้ ปลอมลายเซ็นเค้าแล้วเราจะติดคุกหรือเปล่า ไม่น่า... ก็เราอยู่ในร่างเขาแล้วนี่นา ปลอมลายเซ็นตัวเองจะติดคุกได้ไง”

ผมเปิดลิ้นชัก รื้อดูเอกสารเก่าๆ นั่นไงเจอแล้ว จักรยุทธ ชื่อของเขา...ลายเซ็นของเขา

ผมหยิบกระดาษเปล่าออกมา เอาปากกามาหัดเซ็นเลียนแบบลายเซ็นนั้น (ทำไมต้องเซ็นยาวๆแบบนี้ด้วยวะ) ผมบ่นในใจ เหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่ห้องเปิดเครื่องปรับอากาศไว้เย็นเจี๊ยบ ผมหัดเซ็นไปเรื่อย จนเกือบเต็มหน้า อ้า...ชักจะเข้าเค้า..
ทันใดประตูก็เปิดออก ผมรีบคว่ำกระดาษ พี่สาวคนสวยนั่นเองที่ชะโงกหน้าเข้ามา
“เสร็จหรือยังคะ”
“อีกสิบนาทีคุณค่อยเข้ามาเอานะ”
“ค่ะ”
เธอรับคำแล้วปิดประตูเบาๆ
ผมซ้อมเซ็นอีกสองสามที แล้วหยิบเอกสารปึกนั้นขึ้นมาดู
“โอ้ แม่จ้าว”
ผมเกิดอาการหน้ามืดตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ภาษาอังกฤษล้วนๆ ทุกแผ่นไม่มีภาษาไทยเจือปน อูยย แล้วภาษาอังกฤษของตูก็โคตรจะอ่อนแอเลย ผมเปิดดู เปิดดูไปทีละแผ่น ไม่มีภาษาไทยเลย อ่านไม่ออกซักประโยค รู้จักบางตัวบ้างหละ แต่เอามาเรียงกันยาวเฟื้อยแบบนี้หมดความสามารถที่จะแปล... ทำไงดีล่ะ

เอาวะ เซ็นก็เซ็น เอาเอกสารอะไรมาให้ตู ตูเซ็นดะ! เชื่อใจพี่สาวคนสวยอยู่แล้ว

ผมเซ็นรวดเดียวเสร็จในพริบตา แล้วก็เอนหลังพิงพนัก มองผลงานชิ้นแรกในร่างใหม่อย่างภูมิใจ
“ไม่ยากนี่หว่า ทำเองก็ทำได้ เก่งจริงๆเรา” ผมชมเชยตัวเอง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
“เสร็จหรือยังคะ”
“เสร็จแล้วครับ คุณเข้ามาเอาได้”
เธอเดินมารับเอกสาร
“ขอกาแฟให้ผมซักถ้วยนะ” ผมลองสั่งดู
“ค่ะ คุณจักร” เธอรับคำเสียงหวาน แล้วเดินออกไป
ผมเลื่อนเก้าอี้ออก เอาเท้าขึ้นมาพาดบนโต๊ะ เต๊ะจุ๊ย สบายใจ

แล้วผมก็ลูบคลำใบหน้าตัวเอง เรียบลื่นดี แต่มีร่องรอยหนวดเคราแข็งๆเล็กๆจาการโกนหนวด ไม่เหมือนกับใบหน้าเดิมของผมที่เรียบลื่นไปหมด
ชักอยากรู้แล้วว่าหน้าตาของตัวเองเป็นไง
นางฟ้าบอกว่าเขาหล่อนี่
ผมลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูออกดูใบหน้าตัวเองในกระจก
“โอ้โห วิลลี่”
จริงๆนะ หมอนี่หล่อจริงๆ เหมือนวิลลี่ยังไงยังงั้น โหอย่างนี้สาวๆหลงกันตรึม โอกาสจีบแคทมีสูงเลยหละ ชักจะมั่นใจตัวเองแล้วโว๊ย

ผมออกจาห้องน้ำ เลขาเอากาแฟมาให้พอดี
“กาแฟค่ะ คุณจักร”
ผมรับ แอบแตะมือสวยๆนุ่มๆของพี่สาวด้วย
“โห ไม่ใส่น้ำตาลเลยหรือ”
“อ้าว ทุกที่ก็ไม่ใส่นี่คะ”
“นั่นซินะ” ผมรับคำหน้าเจื่อน ค่อยๆจิบลงไป ขมปี๋ ตามที่คาด
เธอกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้หันมาบอก
“ภรรยาคุณจักรบอกว่าเดี๋ยวตอนเที่ยงจะมารับไปทานข้าวค่ะ”
ผมสำลักกาแฟพรวด
“อะไรนะ ผมมีเมียแล้วเหรอ?”
เลขาทำหน้าแปลกๆ
“คุณจักรล้อเล่นบีเล่นหรือคะ?”

ผมกัดฟันกรอดๆ นางฟ้านะนางฟ้า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน คราวนี้ผมต้องเสร็จแน่ๆ
“ใช่ ๆ ผมล้อเล่น คุณบีออกไปทำงานต่อเถอะ” ผมพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก

พอเธอเดินออกไป ผมก็ลุกขึ้นเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ
“ตอนเที่ยงเลยเหรอ ใกล้จะถึงแล้วด้วย โดนจับได้แน่ๆเลย โอ๊ย ตายแล้ว”
ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลย ไม่รู้สักนิด รู้แต่ว่าชื่อจักรยุทธ หล่อขนาดวิลลี่ เป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่บริษัทนี้ทำอะไรก็ไม่รู้ ชื่อเมียก็ไม่รู้จัก ไม่รู้อะไรเลย แล้วผมจะเอาตัวรอดได้ยังไง

แถมข้อสำคัญ...

ผมลูบคลำเจ้าสิ่งแปลกปลอมในร่างที่เพิ่มเข้ามา มีเมียก็ต้องใช้เจ้านี่ ใช้ยังไงก็ไม่รู้ คู่มือการใช้ก็ไม่มี ตายแน่ ตายแน่ ไอ้บุ้งตายแน่ นางฟ้า ชั้นจะฆ่าเธอ...

ผมบ่นพึมพำ แล้วก็หน้าร้อนวูบวาบ เมื่อเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อยากรู้จังว่ามันหน้าตาเป็นไงน๊า ไม่เคยเห็นเลย”ผมคิด

“ขอดูหน่อยนะ พี่วิลลี่” ผมหัวเราะคิกภูมิใจในความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง

ผมเริ่มปลดเข็มขัดตัวเอง...
ปลดตะขอ…
รูดซิบ…
ปล่อยมันลงไป...
นิ้วเกี่ยวไปที่ขอบยางยืด....
...แต่หยุดไว่ก่อน
หยุดไว้ก่อน...
หยุดทำไมเหรอ?
ก็ตั้งสติก่อนอ่ะดิ นี่มันของจริงนะ..
อึ๋ยยย... เสียวโว๊ย!

ผมเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าไว้ แต่กางนิ้วมองลอดช่องลายนิ้วออกมา เออ... อย่างนี้ค่อยยังชั่ว
ผมค่อยๆง้างนิ้วดึงขอบยางยืดออกไป... ช้าๆ
“ว๊ายยยยยย” เสียงอุทานดังลั่น
ไม่ใช่เสียงอุทานของผม! แต่เป็นของพี่สาวคนสวยนั่นเองที่ดันเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
ผมรีบดึงกางเกงขึ้น รูดซิบใส่ตะขอ ใส่เข็มขัดอย่างรวดเร็ว หน้าร้อนวูบวาบ
“ทำไมไม่เคาะประตู” ผมดุ อายสุดขีด
เธอหน้าแดงซ่านหลบตาผม ผมเห็นหน้าเธอแล้วบอกไม่ถูกว่าใครจะอายกว่ากัน
“บีเคาะแล้วนะ”
“ผม..ผม...”
“ไม่ต้องอธิบายก็ได้ค่ะ” เธอพูด
“มีธุระอะไรหรอ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ปั้นหน้าเคร่งขรึม แต่หน้ายังร้อนวาบ โอ๊ย หน้าผมจะต้องแดงซ่านพอๆกับหน้าเธอแน่ๆ เลย
“บีจะมาเอาถ้วยกาแฟค่ะ”
“เร็วเลย”
เธอหยิบถ้ายกาแฟแล้วเดินออกจากห้องไป ไม่มองหน้าผมเลย
ขอโทดนะพี่วิลลี่ เราทำนายเสียภาพพจน์ยับเยินแล้ว - -"


เลิฟซี บทที่ 11 – ผมได้พี่สาวสุดสวยอีกคนแล้วคับ

“คุณจักรคะ ภรรยาคุณจักรมาถึงแล้วค่ะ คอยอยู่ที่ล็อบบี้ชั้นกราวด์” พี่เลขาเข้ามาบอกผม
“อ้าว ทำไมไม่ขึ้นมาข้างบนล่ะ”
“ไม่รู้สิคะ คงไม่อยากวนรถขึ้นมามั๊ง เธอให้คุณจักรลงไปค่ะ”
“ตกลง”

ผมรู้ว่าคงหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ แล้วผมก็คิดว่าถึงผมจะเป็นตัวปลอม แต่ร่างของพี่วิลลี่ เอ้ย..ของจักรยุทธนี่เป็นของจริง ถ้าเมียเขาจับได้ หรือสงสัย ผมก็ยืนกระต่ายขาเดียวไว้ก่อน เธอจะทำอะไรได้ จะเอาไปพิสูจน์ลายมือ หรือตรวจ DNA มันก็คือจักรยุทธอยู่ดี อิ อิ ตูไม่ยอมรับซะอย่าง จะทำอะไรตูได้ หุ หุ ตอนกลางคืนก็ถือโอกาสลวนลามพี่สาวเอากำไรซะเลย คิก คิก ฉลาดจริงๆโว๊ยเรา ทำไมไม่รู้ตัวมาก่อนเลยวะว่าเราฉลาดขนาดนี้ ผมคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ แต่ลึกๆแล้วก็ยังหวาดหวั่นอยู่นิดๆ

ผมหยิบสูทมาสวม เดินไปหน้ากระจก จัดเนคไท ฝึกเก๊กหน้าหล่อเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกจากห้อง
“ถ้ามีธุระด่วนก็โทรหาผมได้เลยนะ น้องบี” ผมถือโอกาสเรียกพี่เลขาว่าน้องด้วย
“ค่ะ คุณจักร”
พี่สาวคนสวยตอบ เธอยังหน้าแดงอยู่เลย คงยังอายอยู่ ส่วนผมหายแดงไปตั้งนานแล้ว
“คุณจักรจะกลับมาประมาณกี่โมงคะ” เธอถาม
“โห ถามเหมือนเมียผมเลย”
พี่สาวหัวเราะคิก เส้นตื้นดีแฮะ
“แหม คุณจักรนี่ตลกจังนะคะ บีถามเผื่อมีใครถามหาจะได้ตอบถูกไงล่ะคะ”
“ตอบแบบนี้ผิดหวังจัง” ผมแกล้งล้อเธอต่อ เธอหลบตาผมเลย ผมจึงเลิกหยอกเธอ ถึงยังไงก็ต้องรักษาภาพพจน์ของพี่วิลลี่ไว้บ้าง
“ผมไปประมาณสองชั่วโมงน่ะ” ผมตอบส่งเดช แล้วจึงเดินมาที่ลิฟท์ ลงไปที่ชั้นล่าง

พอถึงล็อบบี้ ผมก็สำรวจดูเร็วๆ เห็นมีคนอยู่แค่สี่คน คนแรกเป็นผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์กำลังคุย โทรศัพท์กับกิ๊ก ผมรู้ว่าคุยกับกิ๊กเพราะว่าเธอคุยไปหน้าแดงไปหัวเราะคิกคักบางทีก็ตบโต๊ะ กระทืบเท้า บางทีก็กำหมัดชกไปในอากาศด้วย ลักษณะแบบนี้คุยกับกิ๊กสถานเดียวเท่านั้นไม่ใช่แฟนแน่นอน... คนที่สองเป็นยามยืนหลับอยู่ที่ประตูและไม่สมควรที่ใครจะไปรบกวนความสงบสุข ของแก... คนที่สามเป็นฝรั่งมีอายุแล้วกำลังจะเดินออกไป... ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้หญิงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่คนเดียวตรงโซฟาที่ล็อบบี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนนี้เป็นเมียผมเอง ผมแอบสำรวจก่อนเลย โห เมียผมนี่โคตรเซ็กส์เลยว่ะ ผิวขาวจั๊ะ แต่งหน้าเข้มจัดเหมือนจะไปถ่ายรูปรับปริญญา เครื่องประดับวูบวาบเต็มตัว กระเป๋าสะพายมันวับวางอยู่ข้างตัว ทั้งหมดแสดงถึงรสนิยมอันหรูเลิศ ข้อสำคัญเสื้อเธอเว้าลึกจนทรวงอกไซส์ตั๊กโผล่มาค่อนเต้า สุดยอดจริงๆ

“ที่รัก คอยนานหรือเปล่าจ๊ะ” ผมทักเสียงหวานจ๋อย
พี่สาวสุดเซ็กส์ลดหนังสือพิมพ์ลง มองหน้าผมเหมือนผมเป็นตัวประหลาด แต่คงจะเป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลาของผมนั่นแหละที่ทำให้เธอยิ้มให้ แม้จะดูเหมือนเธอยังงงๆอยู่
“จักร ทำอะไรคะ” เสียงหวานใสอีกเสียงดังมาจากข้างหลังผม
เพล๊ง!
เสียงหน้าผมแตกระยับแบบหมอไม่รับเย็บ ผมไม่รอเก็บกวาดเศษหน้าของตัวเองบอกกับพี่สาวสุดเซ็กส์ที่นั่งยิ้มแบบงงๆว่า
“ยินดีที่รู้จักนะคับ”
แล้วผมก็รีบลุกขึ้นหน้าชา ตูปล่อยไก่ไปหมดเล้าเลยว่ะ
เจ้าของเสียงหวานใสที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเมียตัวจริงของจักรยุทธ กำลังขมวดคิ้วเรียวงามจ้องมองผมด้วยความสงสัย คงคิดว่าสามีสุดที่รักไปเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับสาวสุดเซ็กส์ต่อหน้าต่อตา
“รู้จักกันหรือคะ” เธอถาม
“นิดหน่อยน่ะ ไปกันเถอะ”
ผมรีบพาเธอเดินออกมา
“ใครคะจักร ทำไมไม่แนะนำให้รุ้งรู้จักบ้าง”
“ไว้คราวหน้าเถอะ ผมหิวแล้ว” ผมพูดหน้ายังร้อนผ่าวไม่หาย “รถจอดอยู่ไหนล่ะ...รุ้ง”
“จอดไว้ด้านข้างค่ะ”

พอเดินออกมาผมจึงเริ่มสังเกตเธอ ผิดคาดแฮะ ผมนึกว่าเมียของจักรยุทธน่าจะเป็นผู้หญิงเซ็กซี่ แต่งหน้าจัดๆแบบพี่สาวสุดเซ็กส์เมื่อสักครู่ แต่พี่สาวที่กำลังก้าวเท้าฉับๆเดินอยู่ข้างๆผมนั้นตรงข้ามกับที่จินตนาการ ไว้อย่างสิ้นเชิง เธอหน้าหวานมาก ตากลมโตสวยซึ้งแต่งหน้าบางจนเกือบจะเรียกได้ว่าไม่แต่ง สวมตุ้มหูเล็กๆรับกับใบหน้าและดวงตา แต่งตัวสบายด้วยชุดง่ายๆเสื้อสีเขียวแขนกุดมีโบว์เล็กๆประดับ กระโปรงลายดอกไม้ สวมรองเท้าส้นสูง ที่ข้อมือมีกำไลและนาฬิกาเล็กๆ แล้วก็แหวนแต่งงานที่นิ้วนาง เครื่องประดับมีแค่นี้เอง

“ไปไหนมาล่ะ รุ้ง ไหนบอกว่าจะคอยผมตรงล็อบบี้” ผมต่อว่าเธอนิดๆ... ทำให้ผมหน้าแตกนี่นา ความผิดของเธอล้วนๆ
“ไปห้องน้ำมาค่ะ ทำไมเหรอ”
“เอ้อ ไม่มีอะไรหรอก ผมหิวน่ะ” ผมตอบ

พี่สาวหน้าหวานพาผมไปที่รถบีเอ็มสุดหรู แล้วส่งกุญแจให้
“จักรขับนะ”
ไม่มีปัญหา ผมรับกุญแจ กดรีโมทเปิดประตู พี่สาวเข้ามานั่งข้างๆ กลิ่นน้ำหอมชื่นใจจริงๆ กลิ่นเหมือนอะไรสักอย่างที่น่าหม่ำ
ผมสำรวจแผงหน้าปัท สำรวจตำแหน่งเกียร์ (แล้วก็สำรวจดูขาขาวๆของพี่สาวด้วย) เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีโดยเฉพาะขาของพี่สาว แล้วจึงสตาร์ทรถ พาบีเอ็มคันงามคลานออกจากที่จอดรถช้าๆ
“ไปทานที่ไหนกันดี” ผมถาม
“ที่ประจำของเราละกัน”
โอ้ ขอบคุณมาก แล้วตูจะไปรู้เหรอว่าที่ประจำของพี่สาว กับพี่วิลลี่มันที่ไหน
เอาไงดีวะ
จะหน้าด้านถามก็ไม่ได้..
จอดแม่งเลยดีกว่า…
คิดแล้วผมก็หักรถเข้าข้างทางจอดที่ริมฟุตบาท


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #3 on: January 26, 2010, 11:26:08 am


“อ้าว จอดรถทำไมคะจักร”
“ผมมึนหัวยังไงไม่รู้ รุ้งมาขับแทนได้ไม๊”
“ตายจริง ปวดหัวด้วยรึเปล่าคะ”
พี่สาวว่า พร้อมกับโน้มตัวมาหาผมเอาหลังมือนุ่มๆมาแตะที่หน้าผากของผม
“อึ๊ยยยย ย ย”
ผมใจหายวาบ สั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับจะเป็นลม ก็พี่สาวหน้าหวานดันโน้มตัวมาหาผมอย่างนี้ คอเสื้อของเธอก็เปิดออก ผมเห็นหน้าอกขาวๆอึ๋มๆของพี่สาวคับแน่นอยู่ในยกทรงเต็มตาเลย อึ๊ย เสียวอีกแย๊วววว
“เอ.. ตัวก็ไม่ร้อนเท่าไหร่นะจักร แต่ตัวสั่นเลย แปลกจัง ไปหาหมอดีไม๊คะ”
โอ๊ย ผมจะเป็นลมก็เพราะนมพี่สาว นั่นแหละ
“ไม่เป็นไรมากหรอก แค่มึนนิดหน่อย รุ้งมาขับเหอะ ผมนั่งพักหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
“ได้ค่ะ”
ผมลุกออกมา สลับที่นั่งกับเธอ
เอ้อ สบายใจแล้วเรา มีพี่สาวคนสวยขับรถให้ คราวนี้พี่สาวอยากไปที่ประจำที่ไหนของพี่ก็ตามสบายเลยค๊าบ

เธอพาผมมาที่ภัตตาคารสุดหรูซึ่งไปสถิตอยู่บนยอดบนสุดของตึกสูงลิบแห่งหนึ่ง ภัตตาคารเป็นรูปวงกลม ผนังเป็นกระจกทั้งหมดเห็นวิวทั่วทั้งกรุงเทพ มีนักดนตรีเล่นเปียนโนบรรเลงเพลงโรมานซ์ โรแมนติคชะมัด
“เอาอะไรดีคะจักร” เธอถาม
“อะไรก็ได้ รุ้งสั่งให้ผมละกัน ผมหิวจนกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
เธอหัวเราะคิก
“อ้าว ไหนว่ามึนหัว ทำไมอยู่ๆหิวมาอีกแล้ว”
“ก็หายแล้วนี่ รีบสั่งมาเลย ให้ไว”

เธอจัดการสั่งอาหารมาให้ อืมม.. บรรยากาศดีจริงๆ หรูหราอย่างนี้คงจะแพงระยับ แต่สำหรับมหาเศรษฐีอย่างจักรยุทธแล้วคงเป็นเรื่องธรรมดา

“จักรจำที่เรามาที่นี่เป็นครั้งแรกได้ไม๊คะ”
“จำได้ติดตาเลยละ” ผมตอบ (ก็วันนี้ไงวันแรกที่เรามาทานด้วยกัน อิ อิ) “มีอะไรหรือรุ้ง ทำไมถึงลากผมมาตอนเที่ยงอย่างนี้เลย”
“แหม.. ภรรยาชวนมาทานข้าวบ้างไม่ได้รึไงคะ”
“ด้ายยยย แต่ผมคิดว่ารุ้งต้องมีเรื่องสำคัญมากกว่า ถึงรอที่จะพูดที่บ้านไม่ไหว”
“ใช่ค่ะ รุ้งมีเรื่องสำคัญ” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง จึงถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จักรเชื่อเรื่องดวงไม๊คะ”
ผมใจเต้นแรง รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล
“ก็เชื่อนิดหน่อย แต่เชื่อการกระทำของตัวเองมากกว่า”
“รุ้งจะบอกอะไรจักร แต่จักรอย่าว่ารุ้งงมงายนะคะ” เธอพูดด้วยสีหน้ากังวล
“เรื่องอะไรหรือรุ้ง”
“คือรุ้งไปดูหมอมาน่ะค่ะ หมอดูดวงรุ้งแล้วก็ดูดวงจักรด้วย จักรคะ... รู้ไม๊ว่าหมอทายว่ายังไง”
ผมสั่นหน้า..
ใจเต้นระทึก..
เห็นดวงตากลมสวยของเธอแดงๆ ราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“จักร... หมอทายว่ารุ้งจะเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว..... หมอทายว่าจักรจะเสียชีวิตวันนี้”
ผมตะลึง ขนลุกเกรียว โอ้โฮ ทายแม่นชะมัดเลย
“จักร..จักร.. รุ้งทำให้จักรกลัวหรือเปล่าคะ” เธอพร่ำถามเมื่อเห็นผมนิ่งอึ้งไป
“เปล่า... ไม่เป็นไร... เชื่ออะไรหมอดูเล่ารุ้ง หมอดูก็คู่กับหมอเดา”

ผมปลอบเธอเสียงนุ่มนวล แต่ใจสั่นสะท้าน สงสารเธอจับใจ (พี่รุ้ง...พี่เสียคนรักไปแล้วละ พี่มาช้าไป แต่ถึงจะมาเร็วกว่านี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจักรยุทธได้... ไม่มีใครเปลี่ยนชะตากรรมของมนุษย์ได้ แต่จักรยุทธคงไม่เป็นเลิฟซีเหมือนผม เพราะเขามีคนที่รักเขาอย่างแท้จริงอยู่นี่แล้ว)

“ไม่ ไม่นะคะจักร หมอคนนี้ทายแม่นมาก เธอทายรุ้งตรงทุกอย่างเลย จักรคะ รุ้งกลัวจังเลย รุ้งอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีจักร” เธอสะอึกสะอื้นออกมาในที่สุด เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
“ไม่เอา.... อย่าร้องไห้ซิรุ้ง ผมก็อยู่ตรงหน้ารุ้งแล้วไง ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย อย่าร้องไห้นะเดี๋ยวคนอื่นคิดว่าผมรังแกรุ้ง” ผมพยายามปลอบเธอเบาๆ ถึงจะรู้แก่ใจว่าอีกไม่ช้าเธอก็ต้องเผชิญกับความจริงอยู่ดี ผมเศร้าใจเหลือเกิน
“จักร วันนี้ไม่ต้องกลับไปทำงานได้ไม๊คะ กลับบ้านกับรุ้ง รุ้งอยากอยู่กับจักรทั้งวัน ไม่งั้นรุ้งไม่เป็นทำอะไรแน่ ทำเพื่อรุ้งซักวันนะคะ”
ผมไม่สามารถหักใจปฎิเสธเธอได้
“ตกลง ผมจะอยู่กับรุ้ง”
“ขอบคุณค่ะ..ขอบคุณ”
เธอยิ้มทั้งน้ำตา แต่แววตายังมีความวิตกกังวล น่าสงสารเหลือเกิน ถ้าอยู่กันตามลำพังผมคงอดไม่ได้ที่จะดึงเธอมาใกล้ๆ กอดให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย แต่ตอนนี้ผมได้แต่กุมมือนุ่มๆของเธอไว้ บีบเบาๆ...


เลิฟซี บทที่ 12 แผนของนางฟ้า

“โทรไปบอกที่บริษัทก่อนดีไม๊คะ ว่าจักรจะไม่กลับเข้าไปแล้ว” รุ้งพูดขณะที่เธอกำลังขับรถพาผมกลับบ้าน
“ไม่เป็นไรหรอก ผมบอกเลขาไว้แล้วว่ามีอะไรให้โทรมา”
“จักรคงไม่ว่ารุ้งนะคะ ที่ขอให้หยุดงานกะทันหัน”
“อย่าคิดมากซิรุ้ง ผมเข้าใจความรู้สึกรุ้งดี”

ก็ทำไมผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของรุ้งล่ะ นับตั้งแต่ผมรู้จักกับแคทผมก็จมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้มาตลอด ...จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต... ความรู้สึกที่คิดและเป็นห่วงคนรักอยู่ตลอดเวลา...

เรากลับมาถึงบ้านหรือถ้าจะให้ถูกก็ต้องเรียกว่าคฤหาสน์ นั่งดูทีวีด้วยกัน รุ้งอยู่กับผมไม่ยอมห่าง เธอทำให้ผมคิดถึงแคท ถ้าแคทรู้สึกกับผมแบบเดียวกับที่รุ้งรู้สึกกับจักรยุทธ ผมคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

ค่ำคืนมาเร็วกว่าที่คิด รุ้งนอนหลับไปแล้ว เละเธอก็เข้าใจว่าเธอเพียงแต่นึกกลัวคำทำนายของหมอดูไปเอง หมอดูคงจะเดาไปเรื่อยเพราะผมยังอยู่อย่างสุขสบายดี ผมอาบน้ำ นอนแช่อยู่ในอ่างโดยที่ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับร่างใหม่ของผมอีกแล้ว ผมจับ”มัน”เล่น และ”มัน”ก็นอนอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี ผมเริ่มจะคุ้นกับมันตั้งแต่ตอนที่เข้าห้องน้ำในภัตตาคารเมื่อตอนกลางวัน แล้ว...

...พอผมออกจากห้องน้ำ สวมชุดนอนเรียบร้อยก็หันไปมองรุ้ง เธอนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ยิ้มอย่างมีความสุข พี่รุ้งที่น่าสงสาร เธอไม่รู้เลยว่าคนรักได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ เธอสวยเหลือเกินและไม่สมควรที่จะต้องมารับกับความรู้สึกนี้เลย ผมนึกสงสัยว่าทำไมคนที่เสียใจต้องเป็นคนที่มีรักแท้อยู่ร่ำไป ไม่ยุติธรรมเลย ผมล้มนอนลงไปบนเตียง กอดเธอไว้ ลูบคลำเรือนผมของเธอ จ้องมองเธอใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะต้องจุ๊บแก้มเธอเบาๆ หอมเหลือเกิน...

“คงไม่คิดจะเป็นชู้กับเมียชาวบ้านนะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมที่ผมคุ้นเคยกลับมาแล้ว ผมรีบลุกขึ้นนั่ง หน้าร้อนวูบ
“หายไปไหนทั้งวัน”
ผมต่อว่าเธอทันที เป็นการปกปิดความรู้สึกของผมเมื่อสักครู่ด้วย
“ชอบไม่ใช่เหรอ ได้อยู่กับสาวสวยทั้งวัน” นางฟ้าพูดยิ้มๆ
ผมหันไปมองรุ้ง เธอยังคงนอนหลับตาพริ้ม
“เธอไม่ตื่นมาหรอก” นางฟ้าพูด
“ฟ้าทำให้เธอหลับไปใช่ไหม”
“ใช่.. พูดดังยังไงเธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก ผิดหวังหรอ”
“เปล่า ผมเพียงแต่สงสารเธอต่างหาก เธอไม่รู้ว่าคนรักเธอน่ะตายแล้ว”
“อย่าสงสารคนอื่นเลย สงสารตัวเองเถอะ”
“ฟ้าพูดเหมือนคนใจดำ” ผมพลั้งปากพูดไป แล้วก็นึกเสียใจขึ้นมาทันที
ผมเห็นนางฟ้าหน้าเปลี่ยนไป ตอบโต้ผมทันควัน
“นี่บุ้งว่าฉันหรือ ฉันทำเพื่อเธอขนาดนี้ เธอกลับมาว่าฉันหรือ”
เสียงเธอสั่นเล็กน้อย ผมนึกแปลกใจเพราะเธอไม่เคยเป็นอย่างนั้มาก่อน เธอเป็นคนอารมณ์ดีมาตลอดนี่นา แต่ก็จริงอย่างที่เธอว่า เธอทำเพื่อผมมาตลอดแต่ก็เหมือนผมจะคอยหาเรื่องเธอตลอดเวลาเป็นใครจะไม่โกรธ เล่า

ผมนึกสงสัยว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกแตกต่างในเรื่องของความรักนั่นเองที่ทำให้เรามักจะ เถียงกัน ผมคิดว่าเธอไม่เข้าใจความรักหรอก อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นนางฟ้าจึงไม่เข้าใจมนุษย์อย่างผม

....หรือไม่ก็เพราะเธอเด็กเกินไป

“ผมขอโทษ” ผมพูดเบาๆ “อย่าโกรธผมนะ ผมเพียงแต่หงุดหงิดที่ฟ้าชอบทิ้งผมไปตอนสำคัญทุกที” ผมพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย
“ช่างมันเถอะ ฉันเป็นพี่เลี้ยง และมีหน้าที่ช่วยเธอให้ไปเกิด เมื่อจบแล้วก็จบกัน”
“จริงอ่ะ? ผมไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่ออะไร”
“ผมไม่เชื่อว่ามันจะง่ายอย่างงั้น”
“อธิบายมาเลย”
“ผมไม่เชื่อว่าฟ้าจะลืมผมได้ง่ายแบบที่พูด”
เธอหน้าแดง
อ้า... ผมรู้ความลับอีกอย่างแล้ว...
ใครว่านางฟ้าอายไม่เป็น

“เอาละ เลิกพูดเล่นซะที มาพูดเรื่องงานของเรากันดีกว่า”
ผมหัวเราะ
เธอทำเป็นไม่สนใจ
“ก่อนอื่นฉันจะบอกเกี่ยวกับจักรยุทธให้บุ้งฟังก่อน”
“ดีจ้ะ”
“เธอรู้จักเขาแค่ไหน”
“เขาเป็นมหาเศรษฐี หล่อ รวยมากๆ แต่ทำธุรกิจอะไรก็ไม่รู้”
“เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ครบวงจรเลยล่ะ แล้วก็มีบริษัทในเครืออีกเยอะ นำเข้า ส่งออก มีบริษัททำโฆษณาด้วย”
“โอ้โฮ ทำหลายอย่างจัง”
“ใช่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมรวยขนาดนี้ มีอีกอย่างที่เธอน่าจะรู้ เขาเจ้าชู้มากด้วย”
“มิน่า”
“มิน่าอะไร”
“ตอนแรกผมสงสัยว่าทำไมคนรูปหล่อเลอเลิศแบบเขาจึงเลือกเมียที่ดูเรียบๆแบบนี้ พี่รุ้งน่ะจืดเกินไป...สำหรับเขานะ ผมคิดว่าผู้หญิงเปรี้ยวๆเซ็กซี่น่าจะเหมาะกับเขามากกว่า”
“แล้วบุ้งคิดว่าเพราะอะไรเขาถึงเลือกผู้หญิงเรียบๆล่ะ”
“ก็เพราะเค้าเจ้าชู้นี่แหละ เค้าคงคิดว่าถ้าแต่งกับผู้หญิงเรียบๆ คงจะตามเขาไม่ทัน จะได้ไปกุ๊กกิ๊กกับสาวอื่นได้สบายใจ ถ้าแต่งกับผู้หญิงเปรี้ยวจะทันกัน จะไปหาเศษหาเลยกับสาวอื่นก็ไม่สะดวก“
“อาจจะจริง... แต่บุ้งอาจจะมองเขาในแง่ร้ายเกินไปก็ได้ บางทีเขาอาจจะรักรุ้งจริงๆก็ได้นี่นา บุ้งก็คิดว่ารุ้งน่ารักไม่ใช่หรือ”
“ผมว่าเขาไม่คิดแบบผมหรอก”
“เราอย่าไปสนใจเลย เรามีเวลาน้อยมาก มาใส่ใจเรื่องของเราดีกว่า”

ใบหน้างามของแคทผุดเข้ามาในสมองของผมทันที ใจผมหวิวไหวทุกครั้งที่คิดถึงเธอ
“เราจะเริ่มตรงไหนดีล่ะ ผมยังคิดไม่ออกเลย”
ผมพูดแบบงงๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองฉลาดเหลือเกิน มีไหวพริบเป็นเลิศ แต่พอผมคิดถึงแคททีไรผมจะรู้สึกโง่ๆทุกที คิดอะไรไม่ออกเลย

“ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล เธออยู่กับนางฟ้าที่ได้ไลเซนท์เอ...”
“...และได้คะแนนสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีใครได้มาก่อน” ผมพูดแทรกเธอขึ้นมาแล้วก็หัวเราะ
เธอหัวเราะคิกตามผมมาด้วย
เอ..เมื่อกี้ยังงอนผมอยู่เลย
“เธอดีเหลือเกินบุ้ง ฉันยอมรับว่าถ้าเราต้องจากกัน ฉันคงจะคิดถึงเธอบ้าง”
ผมอมยิ้ม
“แต่ผมจะคิดถึงฟ้ามากเลยล่ะ” ผมพูดอย่างจริงใจ
“ไม่หรอกเธอจะลืมทุกอย่าง”
ผมนั่งเงียบๆ
...รอให้เธออธิบาย

“พอเธอข้ามสะพานแห่งนั้น เพื่อจะไปเกิดใหม่ เธอจะลืมทุกอย่าง มันเป็นอย่างนั้นกับทุกคน” น้ำเสียงของนางฟ้าแผ่วเบา
“...ถ้าผมได้ไปเกิดนะ”
“เธอต้องได้ไปแน่นอน ฉันไม่ยอมอยู่บนโลกนี้ตลอดไปหรอก”

ผมถอนหายใจเบาๆ
“ผมไม่อยากลืมฟ้าเลย ไม่อยากลืมแคทด้วย”
“ฟังฉันนะ จำได้ไม๊ที่ฉันบอกว่าจักรยุทธมีบริษัททำโฆษนา”
“จำได้ซิ”
“เราจะเริ่มจากตรงนี้ เราจะติดต่อแคทมาเป็นนางแบบโฆษณา เธอรับปากแน่ บุ้งต้องอาศัยโอกาสนี้ใกล้ชิดเธอ จีบเธอซะ..”
ผมถอนหายใจหนักๆ
“มันอาจจะฟังตลกหน่อยนะ แต่ผมเห็นจะต้องสารภาพ เวลาผมอยู่กับแคททีไรมักจะพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้เป็นไง ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
นางฟ้าจับมือผม
“มันเป็นเพราะเธอขาดความมั่นใจน่ะซิ ไม่ต้องห่วง ร่างใหม่ของเธอมีเสน่ห์มากกว่าที่เธอคิด แล้วแคทก็จะมีปฎิกิริยากับเธอแตกต่างจากที่มีปฎิกิริยากับบุ้งคนเดิม”
“ฟังดูเป็นวิชาการจังเลย แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”
นางฟ้าหัวเราะคิก
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ถึงเวลาเธอจะเข้าใจที่ฉันบอก มันจะไปตามธรรมชาติ”
“เธออายุ 17 จริงๆเหรอ”
นางฟ้าหน้าแดง
“ทำไมล่ะ”
“บางทีเธอก็ดูไม่เหมือนอายุ 17 เลย”
“ก็ฉันเป็นนางฟ้านี่”
“จริงสิ”
“นอนเถอะ”
“ผมยังไม่ง่วงเลย”
“แต่เธอต้องนอน ถึงเธอจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ร่างกายของเธอเป็นคนธรรมดา จำเป็นต้องพักผ่อนแบบคนปกติทั่วไป แล้วพรุ่งนี้เราค่อยเจอกัน”
แล้วนางฟ้าก็หายตัวไป

ผมล้มตัวลงบนเตียงดึงผ้าห่มมาคลุมร่าง กลิ่นหอมจากตัวของพี่รุ้งกรุ่นเข้ามาในจมูก ผมหันไปหาเธอ กอดร่างนุ่มๆเอาไว้
...แล้วผมก็นึกถึงคำพูดของนางฟ้า (“แคทจะมีปฎิกิริยากับเธอแตกต่างจากที่มีปฎิกิริยากับบุ้งคนเดิม”)
...แล้วผมก็คิดถึงตอนที่ผมไปทักพี่สาวสุดเซ็กส์ที่ล็อบบี้ว่า”ที่รัก” ถ้าเป็นไอ้บุ้งคนเดิมผมคงโดนด่าหรือโดนตบไปแล้ว แต่นี่นอกจากพี่เค้าจะไม่ว่าอะไรแล้ว พี่เค้ายังส่งยิ้มให้ผมด้วย...

ผมหลับตากอดพี่รุ้งแน่นขึ้น แต่ภาพของพี่สาวอีกหลายคนผุดขึ้นมาในสมองไม่หยุดยั้ง ช่วงเวลาเพียงสองสามวันแต่ผมได้รู้จักกับผู้หญิงสวยๆมากมายเหลือเกิน สุดท้ายภาพของพี่สาวหลายคนนั้นก็หายไปหมด เหลือแต่ภาพของแคทคนเดียว... อืมม แต่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนจะมีภาพของสาวน้อยอีกคนที่ไม่ยอมหายไปจริงๆ หากแต่ถูกซ่อนไว้ลึกๆในอีกมุมของหัวใจ... นานเท่าไหร่ไม่รู้กว่าที่ผมจะหลับลงไปได้ในที่สุด...


เลิฟซี บทที่ 13 นางฟ้า...คืนนี้อย่ามานะ

แผนการของนางฟ้าไปได้สวย แคทรับที่จะมาถ่ายแบบโฆษณา หลังจากเทสท์หน้ากล้องเสร็จผมก็พาเธอไปทานอาหาร
“เหนื่อยไหมแคท” ผมถาม
“ไม่ค่ะ แคทสนุกมากกว่า” เธอตอบ ใบหน้ายิ้มสดชื่น ทำให้ผมมีความสุขไปด้วย “คุณจักรคะ คุณจักรรู้จักแคทได้ยังไงคะ”
“ก่อนอื่นเรียกพี่ว่าพี่จักรดีกว่านะ เป็นกันเองดี”
เธอพยักหน้า
“ค่ะ พี่จักร แคทว่าแคทไม่เคยเห็นพี่จักรเลยนะ ทำไมถึงเลือกแคทมาถ่ายโฆษณาได้ล่ะคะ”
“พี่เคยเห็นแคทแล้ว พี่รู้จักแคทจากบุ้งน่ะ” ผมแกล้งบอกชื่อบุ้งให้เธอฟัง แล้วจับตาดูสีหน้าของเธอว่าจะเป็นยังไงเมื่อได้ยินชื่อผม
“บุ้งหรือคะ” เธอถาม “พี่จักรรู้จักบุ้งด้วยหรือคะ”
“เราเป็นญาติกันน่ะ” ผมตอบ แต่ในใจรู้สึกผิดหวังที่เธอไม่ได้แสดงอาการอะไรที่เป็นการคิดถึงผมเลย หรือว่าผมหวังอะไรมากไป... แต่เธอร้องไห้ในงานศพผมนี่ เธอซ่อนความรู้สึกไว้หรือไง? ผมยังอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้
“ญาติกันหรือคะ ไม่น่าเชื่อ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ดูพี่จักรต่างกับบุ้งมากเหลือเกิน”
ผมหัวเราะ
“ญาติกันก็ต่างกันได้อยู่แล้ว พี่น้องยังต่างกันเลย”
“นั่นซินะ” แคทพูดแล้วก็หัวเราะ “แต่แคทก็รู้สึกว่าต่างกันมากอยู่ดี ไม่รู้ซิ พี่จักรรวยเกินไปมั๊ง มีตึกเบ้อเริ่มเทิ่ม” เธอสดใสน่ารักเหลือเกิน ผมอยากกอดเธอจริงๆ
“แคทว่าบุ้งเป็นคนยังไง”
“บุ้งหรือคะ อือ..แคทก็ไม่ค่อยสนิทกับบุ้งมากนักหรอก เค้าเป็นคนเงียบๆน่ะ”
“แต่เค้าตายเพื่อแคทใช่มั้ยล่ะ”
“มันเป็นอุบัติเหตุ บุ้งมาช่วยแคท” สีหน้าเธอสลดลง... อย่างน้อยเธอก็คิดถึงผม... แต่ไม่พอ ผมอยากรู้ใจเธอให้มากขึ้นอีก
“แสดงว่าบุ้งรักแคทมากเลยนะ” ผมใจร้อน พูดตรงๆเลย
“รักแคทหรือคะ” เธอหน้าแดง “บุ้งเป็นผู้หญิงนะคะ”
“บุ้งเป็นทอม แคทก็รู้ว่าบุ้งเป็นทอม บุ้งตายเพื่อแคทนะ”
เธอหลบตาผม
“เราพูดเรื่องอื่นได้มั้ยคะ แคทไม่อยากพูดถึงบุ้งตอนนี้”

ผมถอนหายใจ ผมรุกเธอมากเกินไป จึงเปลี่ยนเรื่องพูด สนทนาทั่วๆไป เธอกลับมามีรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง พอได้เวลาสมควรผมก็ไปส่งเธอที่บ้าน ผมไม่รีบร้อนที่จะพิชิตใจเธอแม้จะสังเกตได้ว่าเธอมีทีท่าว่าชอบผมอยู่เหมือน กัน ผมจับความรู้สีกนั้นได้ นางฟ้าพูดถูก ปฎิกิริยาที่เธอมีต่อจักรยุทธแตกต่างจากปฎิกิริยาที่เธอมีต่อบุ้ง แม้จะแค่วันแรกที่เราออกมาทานอาหารด้วยกัน แต่ผมอยากจะพูดว่าเธอทอดสะพานให้ผมด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ผมกล้าที่จะล้อเล่นหยอกเย้าเธอ ความสัมพันธ์ของเราดูจะไปได้สวย ยกเว้นตอนที่ผมพูดถึงบุ้งเท่านั้น

หลังจากส่งเธอแล้วผมก็กลับมาบ้าน ผมดูทีวีจนดึกดื่นแล้วจึงขึ้นไปนอนเช่นเคย พี่รุ้งนอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว ผมต้องรอให้เธอหลับก่อนทุกครั้งถึงจะขึ้นมานอน บางครั้งผมแอบคิดที่จะมีอะไรกุ๊กกิ๊กกับเธอเหมือนกัน ในสภาพผู้ชายแบบนี้แหละ มันตื่นเต้นดีไม่ใช่เหรอ แต่ทุกครั้งที่ผมคิดแบบนี้ ก็จะมีความคิดอีกอย่างขึ้นมาแทรกซึ่งทำให้ผมต้องหยุดคิดอย่างฉับพลัน.... ก็นางฟ้านั่นแหละ เธอชอบไปๆมาๆโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอดันโผล่มาตอนที่ผมกุ๊กกิ๊กกับพี่ รุ้ง

และนั่นก็เป็นการทรมานอย่างแสนสาหัสเลยล่ะ ผมนอนโดยมีสาวสวย ตัวหอมๆอยู่ข้างๆ แต่ไม่กล้าทำอะไร ทำได้อย่างมากก็แค่กอดเธอเท่านั้นเอง แต่ผมก็กลัวนางฟ้าจริงๆ บ้าชะมัดเลย

“นินทาอะไรฉันอีกล่ะ”
ผมสะดุ้งเฮือก
“ฟ้า” ผมร้องเรียก
เงียบ...
“ผมรู้ว่าฟ้ามาแล้วนะ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
เงียบ...
ผมถอนหายใจ
ผมหูแว่วไปเองนี่นา
“จักร พูดกับใครคะ” พี่รุ้งพูดเสียงงัวเงีย
ผมใจหายวาบ
“เปล่านี่”
“งั้นนอนเถอะ”

ผมล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม แล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้พี่รุ้งเหมือนทุกคืน ผมหลับตาเพื่อจะให้ใบหน้าพี่สาวสวยๆผุดขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มีแต่ความมืด ใจผมเต้นระทึก หวิวๆ สังหรณ์ใจยังไงชอบกล

อึ๋ยยยย

ผมใจหายวูบ เพราะรู้สึกว่ามือพี่รุ้งเริ่มไต่มาบนตัวผม
ร่างของเธอกระเถิบมาจนชิด
ทรวงอกนุ่มตึงเบียดอยู่กับหลังผม
ท้องเธอก็แนบกับหลังผม
ร่างเธอสัมผัสผมทุกส่วนเลย ตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงขา

ชัดเลย..

พี่รุ้งกำลังจะลวนลามผมแล้ว...

นั่นไง!
เธอเริ่มโอบแขนมา
กอด...
มือลูบไล้ที่อก...
แล้วก็เลื่อนต่ำลง...
เลื่อนต่ำลงไปอีก...
ใกล้แล้ว...
ใกล้แล้ว...
หยุดเดี๋ยวนี้นะ!

อึ๋ยย ย ย


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #4 on: January 26, 2010, 11:28:58 am
เลิฟซี บทที่ 14 นางฟ้า...คืนนี้อย่ามานะ (2)

เปล่า...ยังไม่ถึงตรงนั้นหรอก
ผมจับมือพี่รุ้งไว้ก่อนที่จะมือนุ่มๆของเธอจะถึงบุ้งน้อย
ผมต้องรีบหยุดเธอไว้ก่อน เพราะถ้าปล่อยให้เธอสัมผัส... บุ้งน้อยก็จะกลายเป็นบุ้งใหญ่ได้
และเมื่อถึงตรงนั้นผมไม่แน่ใจว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ได้อีก
ขณะที่ผมกำลังคิดหาคำพูดมาปฎิเสธนั้น อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิก เสียงพี่รุ้งนั่นเอง อะไรวะ ทำไมร้องไห้เก่งจัง

ผมรีบพลิกตัวหันหน้าเข้ามาหาเธอ
“ร้องไห้ทำไมรุ้ง”
“จักรเบื่อรุ้งแล้วใช่ไม๊”
“เบื่อรุ้ง? บ้าจัง ผมจะเบื่อรุ้งได้ยังไง ผมรักรุ้งมากที่สุด” ผมพูดพร้อมกับลูบคลำเรือนผมเธอ
“อย่าหลอกรุ้งเลย รุ้งสังเกตมาหลายคืนแล้ว จักรคอยแต่จะหลบหน้ารุ้ง ตอนกลางคืนก็รอให้รุ้งหลับก่อนถึงจะขึ้นมา แล้วจักรก็ไม่เคยมีอะไรกับรุ้งเหมือนเมื่อก่อน เมื่อกี้รุ้งจะจับ..จักรก็จับมือรุ้งไว้อีก”

ผมใจหายวูบ ผมไม่กล้าทำกับเธอก็เพราะผมไม่ใช่จักรยุทธน่ะซิ แต่ผมบอกความจริงเธอไม่ได้ ผมพูดไม่ออก

“รุ้งทำผิดอะไรหรือจักร บอกรู้งซิ รุ้งปรับปรุงตัวเองได้นะ อย่าทำอย่างนี้กับรุ้งเลย” เธอสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ว้า”
“แล้วยังไงล่ะ”

ผมหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้แล้วล่ะ เมื่อผมอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ ผมก็ต้องอธิบายด้วยวิธีทำ
ถ้านางฟ้าโผล่มาล่ะ? อีกใจนึงเตือนตัวเองขึ้นมา
ช่างปะไร ผมทำตามหน้าที่.. หลีกเลี่ยงไม่ได้โว๊ย

ผมกอดร่างนุ่มๆหอมๆของเธอไว้ ประกบปากจูบไปที่ริมฝีปากบางที่สั่นระริก สอดลิ้นเข้าไปสำรวจและเธอก็ตอบรับอย่างดูดดื่ม มือของผมเริ่มเปะปะ สำรวจเรือนร่างของเธอ ครั้งนี้เป็นสำรวจอย่างเอาจริง ลูบไล้ไปทั่ว ตามลำแขนนุ่มๆ ลำตัว แล้วก็เลื่อนขึ้นไปแตะที่ทรวงอก บีบปทุมถันเบาๆ เต็มมือดีเหลือเกิน เต่งตึงดีด้วย ผมใจสั่นเลย ร้อนรุ่มไปทั้งตัว ผมถอนหน้าออกจากปาก แล้วระดมจูบไปตามใบหน้า พวงแก้ม มือเริ่มบีบขยำหนักขึ้นเพราะอารมณ์มันไปแล้ว

“อืยยยย” พี่รุ้งครางออกมาเบาๆ
ผมจูบไล่ลงมาตามซอกคอ ฝังหน้าลงไปตรงทรวงอกบนชุดนอนบางเนื้อนุ่มนั้นซุกไซร้ไปมา แล้วเลื่อนต่ำลง เลิกชุดนอนของเธอขึ้นมาจนสูงเหนือทรวงอก
“โอ้โฮ” ผมตาพร่าเลย
ขาวจริง ขาวโพลนเลย ข้อสำคัญ ทรวงอกทั้งคู่นั้นงดงามอย่างเหลือเชื่อ กลมกลึงเป็นรูปร่างได้สัดส่วน ต่อให้ประติมากรฝีมือดีก็ปั้นไม่ได้อย่างนี้ ยอดอกเป็นสีชมพูอ่อนๆ รับกับวงป้านสีเดียวกัน อยู่บนผิวเนื้อกลมกลึงที่ขาวเนียน ใสจนมองเห็นเส้นเลือดจางๆ
ผมไม่เคยเห็นทรวงอกของใครสวยขนาดพี่รุ้งมาก่อนเลย
“นมสวยจังเลยรุ้ง”
ผมพึมพำ ก้มหน้าลงไป แตะลิ้นไปเบาๆก่อนเพราะไม่อยากให้มันชอกช้ำ

“อืออ” เธอครางตัวสั่นระริก พร้อมๆกับที่ปลายยอดสีชมพูแข็งตัวชูช่อขึ้นมาสู้ลิ้นผมทันที

ผมอ้าปากงับเข้าไปเบาๆ โลมเลียไปมา พร้อมกับเลื่อนมือมาเกาะกุมบัวงามอีกข้างไว้ ลูบคลำฟอนเฟ้นอย่างมันมือ
คราวนี้รุ้งครางหนักขึ้น แล้วแอ่นอกขึ้นสู้ด้วย
ได้อารมณ์เหลือเกิน...
ผมหยุดตัวเองไม่ได้แล้ว

ผมจูบไปขยำไป แล้วจึงค่อยๆเลื่อนใบหน้าลงมา โลมเลียไปที่หน้าท้องไล้ไปถึงสะดือบุ๋มน่ารัก วนลิ้นไปรอบๆ จู่โจมไปข้างใน แล้ววนกลับ เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยๆ จนถึงกางเกงในสีขาวบางที่ปกปิดความอวบอูมไว้
ผมจับขอบยืดของมันแล้วรูดลงมาตามลำขาเพรียวบางทันที

“โอ”

ผมมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตาค้างราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน..
แน่ละที่ผมเคยเห็น แต่ผมไม่เคยเห็นใกล้ชิดอย่างนี้... ในบรรยากาศแบบนี้มันได้อารมณ์เป็นบ้า
แล้วคราวนี้กลายเป็นมือเรียวงามของพี่รุ้งที่เลื่อนลงมาปิดความงามของตัวเอง
“อย่ามองค่ะจักร ขึ้นมาเถอะ” เธอพูดด้วยความอาย
ผมขึ้นไม่ได้!
ถ้าผมขึ้นผมต้องใช้บุ้งน้อย...
ถ้าผมใช้บุ้งน้อยก็เท่ากับผมเป็นชู้กับเธอ...
ก็ผมไม่ใช่จักรยุทธนี่...
ผมจะใช้อย่างอื่นแทน ..
(ผมจะทำสุดฝีมือเลยครับพี่รุ้ง) ผมร่ำร้องอยู่ในใจ


เลิฟซี บทที่ 15 นางฟ้า...คืนนี้อย่ามานะ (3)

ผมยังไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อนเลย แต่มันก็ไม่น่าจะยากหรอก ข้อสำคัญผมต้องจัดการกับปัญหาแรกก่อน พี่รุ้งยังไม่ยอมเอามือออก..
“เอามือออกซิรุ้ง”
“ไม่เอา”
“เอ๊ะ! แล้วเค้านอนอยู่ดีๆ ตัวเองมาลวนลามเค้าทำไมล่ะ พอเค้ามีอารมณ์จะทำตัวเองก็ไม่ยอมให้ทำ” ผมเริ่มงอแง
“ก็จักรไม่ทำแบบทุกทีนี่ ลงไปแบบนี้น่าเกลียดจะตาย”
“ก็เค้าอยากจะทำแบบนี้ เอามือออกเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ออก”

ผมไม่สนใจแล้ว จับขาทั้งสองของเธอแยกออก แล้วก็ดึงมือเธอออกด้วย ดูเธอไม่ได้คิดจะปิดป้องจริงๆหรอก เพราะผมดึงมือออกอย่างง่ายดาย ผมจ้องมองอีกครั้งอย่างหลงใหล ผิวของเธอขาวผ่องอยู่แล้วพอมีแพรไหมอ่อนนุ่มสีดำมาตัดยิ่งทำให้ดูงดงาม ผุดผ่องขึ้นมาอีก ผมรีบฝังจมูกคลุกเคล้าลงไป

“อุ๊ย” เธอร้องอุทาน
“หอมจังเลยรุ้ง” กลิ่นมันแปลกๆแฮะ แต่ผมชมไปก่อนแล้วละ

ผมเงยหน้าดู อยากรู้ว่าชมไปแบบนี้เธอจะเป็นยังไง เห็นเธอเอามือปิดหน้า แต่มือเธอเล็กปิดไม่หมดหรอก ผมเห็นเธอแอบยิ้ม แก้มแดงระเรื่อ.. ผมใจหวิวเลย พี่รุ้งเวลาอายนี่โคตรน่ารัก

แต่ทำไมเธอยิ้มหว่า...
หรือเธอรู้ว่าเราไก่อ่อน..
พอนึกถึงตรงนี้ ผมก็หน้าร้อนผ่าวเหมือนกัน
เอาเหอะ ยิ้มไปเหอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นใคร

ผมใช้นิ้วลากลงไป แล้วก็ใช้ลิ้นตามและเล็มลงไปเบาๆ ก่อนจะทั้งกวาดทั้งแซะไซร้ไปทั่วแล้วก็ดูดตรงนั้นด้วย
“อึ๋ยย ย พอเถอะค่ะจักร รุ้งอายจังเลย”
“ไม่ต้องอายหรอกรุ้ง ผมจะทำให้รุ้งมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เชื่อเถอะน่า”

ผมกัดฟันคุยโม้ทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์

ผมทดลองต่อไปโดยเริ่มใช้นิ้วกลางวางทาบบนร่อง ก่อนที่จะกดนิ้วเน้นลงไปสลับด้วยการงอนิ้วเขี่ย บางทีก็เอาลิ้นลงไปดุนดันขบเม้มหยอกเย้าไปมาไม่นานก็รู้สึกถึงความฉ่ำเยิ้ม ที่ซึมออกมา

“จักร” เธอร้องเสียงกระซิกสั่นกระเส่า
โอ๊ยย... ผมมาถูกทางแล้ว

พอมั่นใจผมก็เลยกดริมฝีปากบดจูบอย่างหนักหน่วง ทั้งมือทั้งนิ้วทั้งปากสลับกันทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พี่รุ้งครางลั่นเด้งสะโพกขึ้นมาสู้กับปลายนิ้วอย่างลืมตัว ผมเร่งความเร็วขึ้นหวังส่งเธอขึ้นสวรรค์ด้วยวิชาดรรชนีขั้นสูงสุดที่เพิ่ง ฝึกสำเร็จหลังจากที่ตายโหงมาเกือบอาทิตย์

"โอย จักร รุ้งใจจะขาดอยู่แล้ว อึ๊ยยย ย"

พี่รุ้งร้องครางคร่ำครวญ สะบัดหน้า บิดตัวไปมาอย่างพลุ่งพล่านในอารมณ์ มือของเธอจิกขยุ้มที่นอนแล้วดูจะไม่สะใจหรือไงไม่ทราบ อยู่ๆก็เปลี่ยนมาจับยึดศีรษะผมไว้แน่น ปากก็สูดร้องครวญครางไม่หยุด คราวนี้เป็นทีของผมที่จะยิ้มบ้างแล้ว ยิ่งเธอร้องโอดโอยผมยิ่งเร่งนิ้วไม่หยุด พี่รุ้งสะบัดหน้า ตัวสั่นเร่าๆ ริมฝีปากงามบิดเบี้ยวร้องครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ ผมสาวนิ้วไปก็มองหน้าพี่รุ้งไป

“โห โคตรเซ็กส์เลยว่ะ”

จริงๆนะ สาวหน้าหวานอย่างพี่รุ้งพอทำหน้าเหยเกร้องครวญคราง อีกทั้งเรือนผมยุ่งเหยิงตกลงมาปกหน้าแบบนี้ ดูแล้วได้อารมณ์กว่าสาวเซ็กซี่ซะอีก ผมสาวนิ้วถี่ยิบจนกระทั่งเธอเกร็งตัวกระตุกพร้อมกับที่ผมรู้สึกได้ถึงความ ฉ่ำแฉะ....

เธอขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปแล้ว ผมล้มตัวลงนอนเคียงข้าง ดึงร่างเปลือยของเธอเข้ามากอดไว้ในวงแขน พี่รุ้งซุกใบหน้าลงคลุกเคล้ากับอกของผมเหมือนลูกนกเปียกฝนที่พยายามซุกหาไอ อุ่นจากรัง. เธอหอบหายใจเบาๆ หน้าแดงซ่าน มีเหงื่อเล็กๆพราวอยู่บนใบหน้า ทรวงอกกลมกลึงสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ

ผมลูบคลำเรือนผมของเธอเบาๆ จุ๊บแก้มที่แดงไปด้วยเลือดฝาดสองสามที แสดงความเป็นเจ้าของพี่สาวหน้าหวานอย่างสมบูรณ์แบบ

“ผมทำให้รุ้งมีความสุขหรือเปล่า” ผมกระซิบ
เธอพยักหน้าอายๆ
“ค่ะ รุ้งมีความสุขมากที่สุดในโลก”
ผมกอดเธอไว้แน่น ผมมีความสุขยิ่งกว่าเธอด้วยซ้ำ..


เลิฟซี บทที่ 16 – เจ้าเล่ห์แต่น่ารัก

“จักรคะ จักรจำที่รุ้งบอกว่าน้องชายรุ้งไปร่วมหุ้นกับเพื่อนที่เชียงใหม่ได้หรือเปล่าคะ”
“จำได้ซิ” ผมตอบไปมั่วๆ
“ตอนนี้ลูกค้าเค้าเยอะมากเลย เลยคิดจะขยายกิจการ เค้าอยากขอยืมเงินเราซัก 1 ล้านน่ะค่ะ”
“เอาซิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเบิกเงินให้” ผมตอบอย่างใจดี
เธอนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วสะอึกสะอื้น
“จักรไม่ต้องเบิกหรอกค่ะ รุ้งโอนเงินจากบัญชีของรุ้งเอง รุ้งเพียงแต่อยากขออนุญาตจักรก่อนเท่านั้น ขอบคุณนะคะ”
“โธ่ จะขอบคุณทำไม เงินของผมก็เหมือนเงินของรุ้งน่ะแหละ” ผมพูดอย่างนุ่มนวล

ความสัมพันธ์ของผมกับพี่รุ้งแนบแน่นขึ้น เรามีอะไรกันอีกหลายครั้ง ผมยังคงใช้ นิ้ว ลิ้นและปาก ไม่เคยมากไปกว่านั้น ผมแปลกใจที่เธอไม่สงสัย แต่ก็ดีแล้ว เพราะผมไม่อยากล่วงเกินเธอมากไปกว่านี้ สิ่งเดียวที่ผมไม่สบายใจคือ ผมมักจะเห็นเธอแอบร้องไห้บ่อยๆ ผมถามเธอ เธอก็ตอบเลี่ยงเหมือนมีความในใจ แต่ผมไม่มีเวลาที่จะหาความจริง เพราะเวลาของผมมีจำกัดและมันน้อยลงไปทุกที

...อย่าว่าแต่ตอนนี้มีอีกสิ่งนึงที่ทำให้ผมไม่สบายใจและหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น

นางฟ้าหายไป...

นับตั้งแต่ที่เธอวางแผนให้ผมกับแคทแล้วเธอก็หายไปโดยไม่บอกเหตุผลใดๆทั้ง สิ้น ตอนแรกผมนึกว่าเธอจะไปเพียงแค่วันสองวันเหมือนทุกครั้ง แต่ปรากฏว่ามันนานมากผิดปกติ.... หรือคืนนั้นเธอกลับมาเห็นผมมีอะไรกับพี่รุ้ง ก็เลยโกรธ ...ไม่น่า.. ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเธอก็ควรจะให้โอกาสผมอธิบายซิ ไม่ใช่หายไปเฉยๆ ผมพยายามหาเหตุผลอื่นๆที่พอจะเป็นไปได้ แต่ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงเลย

ผมเฝ้ารอเธอเพราะไม่สามารถทำอะไรได้... มีบางครั้งที่ผมได้ยินเสียงเธอตอนกลางคืน แต่มันก็เป็นเพียงแค่หูแว่วไปเอง ผมเริ่มหมดหวังและคิดว่าอาจจะไม่ได้เห็นเธออีก ดังนั้นผมจะต้องเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์กับแคทต่อไปเพื่อให้ได้จุมพิตของ เธอ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะจบลง ผมจะได้ไปที่สะพาน และลืมทุกคนในที่สุด

ผมนัดเจอแคทเกือบทุกวัน ไปเที่ยว ทานข้าว ดูหนัง แต่สิ่งที่แคทโปรดปรานมากที่สุดก็คือไปชอบปิ้ง เธอเป็นคนที่ชอบชอปปิ้งมาก เธอจะยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้เดินดูของสวยๆงามๆ และถ้าเธอชอบอะไรผมก็จะซื้อให้หมด แคทเป็นคนที่มีรสนิยมดีด้วย เธอมักจะชอบของที่มีแบรนด์ดังๆ โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าเป็นของที่เพิ่งมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ ตาของเธอจะเป็นประกายวับเลยทีเดียว

“พี่จักรคะ พี่จักรว่ากระเป๋าใบนี้สวยหรือเปล่าคะ” แคทถาม
กระเป๋าหนังเนื้อดีอยู่ในมือเธอ ไม่ต้องดูป้ายราคาก็รู้ว่ามันจะต้องแพง ยิ่งเป็นแบรนด์ดังแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“สวยมากเลยแคท” ผมพูดไปงั้น มันก็สวยเก๋ดีหรอก แต่ผมเฉยๆกับของพวกนี้มากกว่า
“ใบนี้เพิ่งมาเมื่อวานนี้เองนะคะน้อง มีไม่กี่ใบเองด้วยค่ะ สวยขนาดนี้ราคาไม่แพงเลย ถ้าน้องชอบพี่ว่าซื้อไปเลยเหอะ ไม่เกินอาทิตย์ของหมดแน่” พนักงานสาวเชียร์เต็มที่
“พี่จักรคะ แคทชอบจังเลย”
“ถ้าแคทชอบก็เอาซิ เดี๋ยวพี่ซื้อให้”
“แหม แคทเกรงใจพี่จักรจังเลยค่ะ ซื้อให้แคททุกทีเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก แคทมีความสุข พี่ยิ่งมีความสุขกว่าเสียอีก”

บางครั้งผมก็ตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่เงินของผมจริงๆ ถึงจักรยุทธจะตายไปแล้วแต่เงินของเขาทั้งหมดก็ต้องเป็นของพี่รุ้ง ผมกำลังใช้เงินของเธอไปซื้อของให้ผู้หญิงคนอื่น แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผมอยากให้แคทมีความสุขนี่ ผมรักแคทสุดชีวิต แล้วผมก็เหลือเวลาไม่เยอะแล้วที่จะทำเพื่อเธอ

พี่รุ้งไม่รู้แน่ว่าผมกำลังจีบแคทอยู่ เพราะเธออยู่แต่ในบ้านและไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก แต่แคทล่ะ แคทรู้หรือเปล่าว่าผมมีเมียแล้ว..

ตอนนี้ผมมีทั้งพี่รุ้งทั้งแคท แต่ลึกๆแล้วผมกลับรู้สึกอ้างว้าง ผมคิดถึงนางฟ้า แม้เธอจะทำให้ผมหงุดหงิดในบางครั้ง แต่เธอก็ทำทุกอย่างเพื่อผม นางฟ้าจะต้องหายไปเพราะเห็นผมมีอะไรกับพี่รุ้งแน่ๆ ผมหาเหตุผลอื่นไม่ได้เลย

ช่างมันเถอะ..เรื่องมันใกล้จะจบแล้ว การที่ผมจะเรียกร้องจุมพิตจากแคทมันไม่ยาก ถ้าผมต้องการเมื่อไหร่ก็คงจะได้ทันที แต่ผมยังรั้งรอไว้.. ผมไม่แน่ใจว่าถ้าผมจูบเธอแล้ว ผมจะต้องไปสะพานในทันทีเลยหรือเปล่า ผมยังไม่อยากไปที่สะพานในตอนนี้ อยากจะรออีกนิด... อย่างน้อยก็เพื่อที่จะขอบคุณนางฟ้า ถ้าไม่มีเธอคอยช่วยผมมาตั้งแต่แรก ก็ไม่มีทางที่ผมจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง...

แล้วคืนหนึ่งขณะที่ผมใกล้จะหลับ ผมก็ได้ยินเสียงหวานๆดังขึ้น
“บุ้ง”
...เสียงของนางฟ้า หูผมแว่วอีกแล้ว
“ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับนะ ลุกมาเดี๋ยวนี้เลย”
เสียงเธอชัดเกินกว่าที่ผมจะคิดว่าหูแว่ว
ผมลุกขึ้นมานั่ง
แล้วยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัว นางฟ้าก็วิ่งเข้ามาหา โดดเข้าใส่ผม ระดมจูบมาตามหน้าตาของผมเป็นการใหญ่ ผมไม่ยอมเสียเปรียบกอดเธอไว้ และจูบเธอเช่นกัน แต่ผมจูบด้วยความดื่มด่ำ เธอทำท่าจะถอนตัวออก แต่แล้วก็เหมือนจะเปลี่ยนใจยอมให้ผมลิ้มชิมหาความหวานละมุนอยู่ชั่วครู่ เธอก็รู้สึกตัวผลักผมออก ถอยไปนั่งข้างๆ... หน้าของเธอแดงราวกับแตงโม

“นี่ถ้าฟ้าไม่เคยบอกผมมาก่อนว่า นางฟ้าไม่มีความรัก ผมต้องนึกว่าฟ้าหลงรักผมแน่ๆ” ผมพูดยิ้มๆ
นางฟ้าหยิกผมแรงๆ แต่ผมไม่ยักเจ็บ
“ไม่นึกว่าบุ้งจะใจดำอย่างนี้ ไม่คิดถึงฉันเลยหรือไง”
เสียงเธอหวานจับใจ ผมกุมมือเล็กๆของเธอไว้
“โธ่...ผมคิดถึงฟ้าจะแย่อยู่แล้ว ฟ้าไปไหนมา ทำไมไม่บอกผมเลย”
“เขาเรียกฉันกลับไป”
“ใคร?”
“คนข้างบน”
“ทำไมล่ะ? ทำไมเค้าถึงเรียกฟ้ากลับไป?”
“เขาไม่พอใจที่ฉันไปสัญญากับเธอว่า ถ้าช่วยเธอไม่สำเร็จจะอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดไป เขาบอกว่าฉันละเมิดกฏ”
“มีกฎนี้จริงๆหรือ”
“จริง! เค้าตั้งกฎนี้มาทีหลัง แต่ฉันแย้งว่า ฉันต้องสัญญาเพื่อทำให้เธอมั่นใจ เพราะถ้าเธอไม่เชื่อฉัน ฉันก็ทำงานไม่สำเร็จ ..”
“แล้วไง”
“เขาไม่สนใจ เขากักตัวไว้ ขู่ว่าจะไม่ปล่อยตัวฉันกลับลงมาอีก ถ้าฉันไม่เลิกล้มสัญญาข้อนี้ เขากักฉันไว้หลายวันเลยล่ะ เพื่อให้ฉันยอมแพ้”

“ถ้างั้น...ถ้างั้นก็หมายความว่า...ฟ้ายกเลิกสัญญาข้อนี้แล้วละซิ” ผมถามตะกุกตะกัก
“บุ้งอยากให้ฉันยกเลิกสัญญาหรือ” เธอถามเบาๆ
“ไม่! เธอผิดคำพูดไม่ได้นะ” ผมร้อง
นางฟ้ายิ้มน้อยๆ
“เธอเห็นแก่ตัวนี่”
“ก็ฟ้าสัญญากับผมเอง”
คราวนี้เธอยิ้มหน้าบาน
“อย่ากลัวไปเลย ฉันไม่ผิดสัญญาหรอกน่า ฉันมั่นใจว่าต้องช่วยเธอได้ 100 %”
“แต่เขาปล่อยฟ้ามาแล้วนี่ แปลว่าฟ้ารับปากเค้าแล้วซิ”
“ใครว่าฉันรับปาก เธอลืมแล้วหรือไงว่าฉันเป็นนางฟ้าที่ฉลาดที่สุดในรุ่น” นางฟ้าคุย
“แล้วฟ้าทำให้เค้าปล่อยตัวได้ยังไงล่ะ”
“ฉันเถียงเขาว่า ถ้าเขาไม่ยอมปล่อยตัวฉัน เขาก็ละเมิดกฎเหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาเป็นคนทำให้ เลิฟซี ไม่มีพี่เลี้ยงเสียเอง”
“เลิฟซีไม่มีพี่เลี้ยงนี่ผิดกฏหรือ”
“ผิดมหันต์เลยละ”

“เดี๋ยวนะขอผมคิดก่อน... ถ้าเขาปล่อยเธอ ก็เท่ากับยอมให้เธอละเมิดกฏอยู่ดีนะ” ผมพูดอย่างครุ่นคิด
“ใช่... แต่บอกแล้วไงว่า ถ้าเขาไม่ปล่อยฉัน ก็เท่ากับว่าเขาละเมิดกฏเสียเอง”
“เอ... เรื่องมันชักจะวุ่นๆ แฮะ” ผมเริ่มงง
“มันก็ออกจะวุ่นจริงๆน่ะแหละ แต่มันมีข้อแตกต่างอยู่นิดหน่อยตรงที่ฉันเป็นเด็ก ละเมิดกฎก็ไม่เป็นไรมาก แต่เขาเป็นผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์จะละเมิดไม่ได้เด็ดขาด”
“เมื่อเขาละเมิดกฎไม่ได้ เขาเลยต้องปล่อยเธอกลับมา แม้จะรู้ว่าเธอละเมิดกฎชัดๆ” ผมเริ่มเข้าใจ
“แน่ละ ” นางฟ้าพูดอย่างภูมิใจ
“รู้ตัวมั๊ยว่าเธอนี่เจ้าเล่ห์ที่สุด” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะ
“เค้าเรียกว่าเจ้าปัญญาต่างหาก เขาโมโหฉันมากแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาบอกกับฉันว่า ‘เธอเป็นนางฟ้าที่ทำให้ฉันปวดหัวมากที่สุด ถ้าอยากจะอยู่บนโลกตลอดไปก็ตามใจ ฉันจะไม่ยุ่งกับเธออีกแล้ว’ ” นางฟ้าแกล้งดัดเสียงเป็นผู้ชายแก่ๆ ผมขำกลิ้งเลย

“ขอบคุณนะฟ้า ผมดีใจจริงๆที่ได้เธอเป็นพี่เลี้ยง”
“คราวนี้ถึงคราวฉันถามเธอบ้างแล้วนะ”
“อะไรเหรอ”
“บอกมานะ เธอแอบมีอะไรกับรุ้งตอนฉันไม่อยู่!!!!”
ผมสะดุ้งเฮือก
“เค้า..เค้าทำตามหน้าที่อ่ะ ” ผมพูดตามเหตุผลที่ผมเตรียมไว้ แต่เสียงมันออกมาอ่อยๆจ๋องๆยังไงชอบกล อีตอนที่มีอะไรกันผมก็ว่าที่คิดไว้มันสมเหตุผลดี แต่มาพูดต่อหน้าเธอไหงมันฟังดูอ่อนๆก็ไม่รู้

นางฟ้าหัวเราะคิก
“ไม่ต้องทำท่าน่าสงสารแบบนั้นหรอกน่า... ฉันเข้าใจเธอดี”
“จริงเหรอ”
“จริงซิ ฉันเป็นนางฟ้า ฉันรู้ว่าเธอบริสุทธิ์ใจ”
“ผมทำแบบนั้นไม่ผิดใช่ไหม”
“ไม่ผิดมั๊ง เธอหวังดีต่อรุ้งนี่ อีกอย่างเธอก็เป็นผู้หญิงจะเรียกว่าชู้ก็ไม่ถูก”
“ถ้างั้นผมใช้บุ้งน้อยกับพี่รุ้งนะ” ผมตอบอย่างเริงร่า
“ลองดูซิ!” นางฟ้าตวาดแว๊ด ผมดูสีหน้าเธอแล้ว..ไม่ลองดีกว่า


เลิฟซี บทที่ 17 – เธอเลี่ยงไม่ได้แล้วบุ้ง

“เอาละ มาพูดเป็นงานเป็นการซะทีนะ” นางฟ้าทำหน้าเคร่งขรึม “เธอกับแคทไปถึงไหนกันแล้ว”
“ไปได้ดีทีเดียวล่ะ ผมทำให้แคทรักผมได้แล้ว ผมจะจูบเธอเสียเมื่อไหร่ก็ได้” ผมคุย
นางฟ้าพยักหน้า
“งั้นก็ดี แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอพูด ทำไมเธอไม่จูบแคทซะเลยล่ะ”
“ผมอยากจะรอ...” ผมพูดพร้อมกับหลบตาเธอ
“รออะไร”
“รอ..ฟ้านั่นแหละ ผมอยากบอกลาฟ้าก่อน” ผมพูดเสียงแผ่ว
“มองฉันสิบุ้ง”
นางฟ้าสั่ง ผมเงยหน้าขึ้นเห็นเธอจ้องมา ดวงตากลมสวยของเธอเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง แต่จะเป็นความหมายอะไรนั้น ผมยังไม่แน่ใจ
“เธอรอฉันจริงๆ.. หรือว่าเธอยังไม่อยากจะจากแคทกันแน่”

คำถามของเธอทำให้ผมคิด แล้วผมก็ไม่แน่ใจ ผมไม่อยากโกหกเธอเสียด้วยซิ
“ทั้งสองอย่างเลยมั๊ง ผมบอกไม่ได้ว่าอันไหนมากกว่ากัน”
นางฟ้ามีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มให้ผม
“...อย่างน้อยเธอก็ไม่โกหกฉัน”
“ผมไม่เคยโกหกใครถ้าไม่จำเป็น”
“ถึงจำเป็นก็ไม่ควรโกหก” นางฟ้าพูดยิ้มๆ
“แต่บางเรื่องก็จำเป็นจริงๆนะ อย่างพี่รุ้งไง ผมจำเป็นต้องโกหกไม่ใช่หรือ”
“ฉันไม่เถียงกับเธอเรื่องนี้หรอก ฟังนะบุ้ง พรุ่งนี้เธอจะต้องจูบกับแคท อย่าหลีกเลี่ยงอีก”
“ผม..ผมยังไม่อยากจูบแคทเลย”
“เธอจะต้องจูบ” นางฟ้าย้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าของเธอจริงจังมากเลย
“ทำไมล่ะ ฟ้าไม่อยากให้ผมอยู่นานๆหรือ เรายังมีเวลาอีกตั้งเกือบสองเดือน”
“เธอทำให้แคทรักเธอได้แล้ว เธอต้องจูบ ใครจะไปรู้ว่าแคทอาจจะเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้ เพราะมันไม่คุ้มกัน”
“ก็ได้ ถ้ามันเป็นความต้องการของฟ้า ผมก็จะทำตาม” ผมพูดอย่างเจ็บปวด

นางฟ้ายิ้มเศร้าๆ เอามือนุ่มๆลูบไล้หน้าผมเบาๆ
“เธอพูดเหมือนกับน้อยใจ บุ้ง...ฉันก็ไม่อยากให้เธอจากไปเร็วหรอก แต่ยังไงเราก็ต้องจากกัน เธอจะมีชีวิตใหม่ แล้วเธอก็จะมีความรักอีกครั้ง กับใครสักคน”
ผมถอนหายใจ
“ผมจะเกิดเป็นอะไร ผู้ชาย ผู้หญิง หรือจะเป็นทอมเหมือนเดิม”
“ฉันไม่รู้”
“แล้วฟ้าจะจำผมได้มั้ย ถ้าผมไปเกิดใหม่ ฟ้าจะรู้ไม๊ว่าเป็นผม”
“ฉันไม่รู้หรอก แต่บุ้งจะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป”
“ไม่ยุติธรรมเลย ฟ้าจำผมได้ แต่ผมกลับต้องถูกใครก็ไม่รู้ลบความทรงจำ ผมอยากจะจำฟ้ากับแคทไว้อย่างนี้ เขาจะลบความทรงจำผมทำไม” เสียงของผมสั่นเครือ และตาก็เริ่มพร่าเลือน

นางฟ้าดึงผมไปกอด แก้มของเธอแนบกับแก้มของผม อกนุ่มๆของเธอก็เบียดกับอกของผม แต่เธอบริสุทธิ์เกินกว่าที่ผมจะกล้ามีความคิดอย่างอื่น
“อย่าพูดอีกเลย เธอกำลังจะทำให้ฉันร้องไห้นะ” นางฟ้ากระซิบเสียงสั่น
ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้ม..ซึ่งก็คือน้ำตา แต่มันยากจะบอกได้ว่าเป็นน้ำตาของใคร... ของเธอหรือของผม..หรือของเราทั้งคู่

“เรายังไม่จากกันตอนนี้เสียทีเดียวหรอก เราจะพบกันอีกครั้ง ฉันจะไปรอเธอที่สะพาน หลังจากที่เธอจูบแคทแล้วเราจะไปพบกันที่นั่น...เป็นครั้งสุดท้าย”
“ผมจะไปที่สะพานได้ยังไง ผมไม่รู้ว่าสะพานอยู่ที่ไหน”
“อย่ากลัวไปเลย เธอจะไปที่นั่นได้เอง” นางฟ้ากระซิบ “ฉันไปแล้วนะบุ้ง แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
แล้วเธอก็หายไป...

ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง แล้วผมก็หันไปหาพี่รุ้ง มองหน้าสวยหวานของเธอ

ผมจะอยู่กับพี่รุ้งเป็นคืนสุดท้ายเช่นกัน...

แล้วคืนวันพรุ่งนี้ หรือไม่เกินมะรืน พี่รุ้งก็จะรู้ว่าคนรักของเธอเสียชีวิตแล้ว ผมไม่อยากนึกภาพนั้นเลย พี่รุ้งยิ่งเป็นคนอ่อนไหวด้วย เธอจะร้องไห้นานแค่ไหนกันนะ ผมหวังว่าเธอจะพบคนดีๆสักคนหนึ่งเร็วๆนี้ เพราะเธอยังสาว และอ่อนแอเกินกว่าที่จะอยู่เพียงลำพังไปจนเธอแก่ เธอต้องการคนที่คอยปกป้องเธอ ผมเสียใจเหลือเกินที่ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร...

ผมกอดเธอไว้แนบแน่น... ต้องการให้กระแสของไออุ่นจากร่างของจักรยุทธส่งผ่านไปถึงเธอ.. ผมอยากให้เธอรู้ว่าผมห่วงใยเธอเพียงใด....


เลิฟซี บทที่ 18 – ลาก่อน..แคท

วันรุ่งขึ้น ผมไปรับแคทตั้งแต่เช้า เธอแต่งตัวน่ารักด้วยชุดกระโปรงลายชมพู แล้วก็มีสร้อยลูกปัดสีเดียวกัน แคทร่าเริงและช่างพูดเหมือนเช่นเคย เธอไม่รู้ว่าจะได้เห็นผมเป็นวันสุดท้ายแล้ว ผมพูดอะไรไม่ออก ทั้งวาบหวาม ดื่มด่ำ และเศร้าใจในเวลาเดียวกัน

“พี่จักรคะ พี่จักรรู้ไม๊ว่ามีคนมาติดต่อแคทเล่นละครด้วย”
“จริงหรือ แล้วแคทว่าไงล่ะ จะมีเวลาเรียนหรือ แคทยังมีงานถ่ายแบบด้วยนี่” ผมถามอย่างเป็นห่วง ตอนนี้แคทเริ่มจะมีชื่อเสียงบ้างแล้ว หลังจากโฆษณาของเธอได้ออกไป เธอเป็นคนที่ขึ้นกล้องมาก อีกทั้งบุคลิกที่สดใส ร่ารัก น่าเอ็นดู ทำให้คนสนิทสนมด้วยง่าย
“แคทอยากลองดูค่ะ น่าจะสนุก”
“แต่พี่รู้มาว่าเล่นละครมันต้องรับผิดชอบเยอะนะ อย่าโกรธพี่นะถ้าพี่จะพูดตรงๆ พี่กลัวว่าแคทจะเรียนไม่จบ”
“แคทแบ่งเวลาได้น่า อีกอย่างถึงแคทจะเรียนไม่จบก็ไม่กลัว พี่จักรรวยอย่างนี้ ยังไงก็ช่วยแคทได้ พี่จักรไม่ทิ้งแคทอยู่แล้วใช่ไม๊ล่ะ”

ผมฝืนยิ้ม
“ถ้าแคทพูดอย่างนี้พี่ยิ่งไม่สนับสนุนให้รับงานเลย แคทจะรู้ได้ยังไงว่าพี่จะอยู่กับแคทได้ตลอดไป อยู่ๆพี่อาจจะเสียชีวิตไปเมื่อไหร่ก็ได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะแคท”
“ทำไมพี่จักรพูดแปลกๆล่ะคะ พี่จักรจะเสียชีวิตได้ไง พี่จักรต้องอยู่กับแคทไปจนแก่ต่างหาก แล้วอย่าพูดเหมือนกับพ่อแม่แคทหน่อยเลยน่า มาเถอะ เดี๋ยวแคทสั่งไอติมให้ เอาอะไรดีน๊า”
“โอ๊ย พี่ทานไม่ไหวแล้วแคท อิ่มจะแย่แล้ว”
“ไม่ทานไม่ได้ แคทโกรธจริงๆด้วย ทานข้าวไปนิดเดียวเอง”
“พี่อิ่มแล้วจริงๆ”
“งั้นทานถ้วยเดียวกับแคทก็ได้พี่จักร ทานเป็นเพื่อนแคทนะ”

แคทช่างอ้อนและช่างพูด ผมไม่อยากจากเธอเลย แต่เวลานั้นมันก็มาถึงในที่สุด เกือบสามทุ่มผมจึงไปส่งเธอที่บ้าน
“ขอบคุณนะคะพี่จักร แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ” แคทพูด
ผมลังเลไม่อยากจะจูบเธอเลย
เคทหอบหิ้วถุงมากมายที่ได้จากการช็อปปิ้งตลอดทั้งวันลงจากรถ ผมตัดใจเปิดประตูตามออกมา
“แคท..อย่าเพิ่งไป”
“อะไรคะ” เธอหันมามองผมอย่างแปลกใจ
“พี่มีอะไรจะให้” ผมพูดแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมายื่นให้เธอ
แคทวางถุงลงกับพื้นแล้วรับกล่องนั้นไว้
“กล่องสวยจังเลยค่ะ อะไรคะ”
“เปิดดูซิ”
“พี่จักรนี่ชอบมีอะไรเซอไพรส์อยู่เรื่อย” แคทพูดอย่างตื้นเต้น แก้มแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายวับ
เธอเปิดกล่องออก...
“โอ้โฮ พี่จักร พี่จักรซื้อให้แคทจริงๆด้วย” เธอร้องออกมาอย่างดีใจ

ภายในกล่องกำมะหยี่คือสร้อยทองคำเส้นเล็กๆ ห้อยจี้เพชรรูปดาวแปดแฉก มันสวยมาก...สวยขนาดผมที่ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องนี้ยังรู้สึกว่ามันงามบาดตา แต่ละแฉกของดาวมีเพชรหลากสีสลับวางเรียงราย และตรงกลางเป็นเพชรที่ใหญ่ที่สุดมีสีแดง คนขายบอกว่ามันคือ Red Diamond เพชรที่หายากที่สุด ส่องประกายวูบวาบ แคทเคยชวนผมไปดูแล้วบอกอยากได้ ผมไม่ซื้อให้เพราะคิดว่ามันแพงเกินไป แต่ผมแอบซื้อให้เธอในวันนี้เพื่อเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะลาเธอชั่ว นิรันดร์

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณพี่จักรมากๆ พี่จักรสวมให้แคทซิคะ” แคทพูดอย่างตื่นเต้น ส่งสร้อยให้แล้วหันหลังให้ผม รวบเรือนผมของตัวเองไว้
ผมมองช่วงคอขาวผ่องของเธออย่างหลงใหล เมื่อกลัดสร้อยเรียบร้อย เธอก็หันกลับมา
“แคทสวยไม๊คะ” เธอถาม

ลำคอของเธอระหงได้รูป พอสวมสร้อยเส้นนี้ ยิ่งทำให้งดงามอย่างบอกไม่ถูก

เลือดในกายผมพุ่งพล่าน... ก้นบึ้งของหัวใจได้ยืนยันกับผมแล้วว่าคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตก็คือ แคท ผมอาจหวั่นไหวกับผู้หญิงคนอื่นไปบ้างชั่วครู่ชั่วยาม แต่เมื่อคนที่ผมรักอย่างแท้จริงยืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ผมก็ไม่อาจทนระงับใจไว้ ได้...

ผมรั้งร่างเธอเข้ามา ประกบปากลงไปบนริมฝีปากบางของเธอ เน้นน้ำหนักไปที่กลีบสีชมพูของเธอ จูบอย่างนุ่มนวลทว่าดูดดื่ม รู้สึกถึงความรักที่แผ่ซ่านไปทั้งร่างแล้วทะยานผ่านไปสู่ร่างเธอ ขณะเดียวกันทรวงอกอวบตึงของเธอก็สัมผัสกับอกผม ผมอยากจะวางมือสัมผัสไปบนผิวเนื้อที่อ่อนนุ่ม แต่ต้องพยายามสะกดอารมณ์ไว้ ได้แต่โอบกอดแผ่นหลังของเธอกระชับกายเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ถอนคลาย...

แคทไม่ได้ขัดขืนผมเลย ผมเสียอีกที่ต้องต่อสู้กับความพุ่งพล่านของตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อนกว่าที่จะ ยอมปล่อยเธอโดยไม่ล่วงเกินไปมากกว่านี้...

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคะ พี่จักร” เธอพูดอายๆ หอบข้าวของวิ่งเข้าไปในบ้าน
“ลาก่อนแคท” ผมพูดเบาๆ
ความหวานชื่นยังตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก
“ลาชั่วนิรันดร์”
ผมพึมพำ มองเธอวิ่งหายเข้าไปในบ้าน
เนิ่นนานกว่าที่จะตัดใจเดินกลับมาขึ้นรถแล้วขับออกมา

แล้วเราจะขับไปไหนล่ะ? นางฟ้าบอกว่าพอจูบแคทแล้วจะรู้ทางไปสะพานเอง.. ไม่เห็นจะรู้เลย..
ซวยแล้ว! จะไปถามทางกับใครก็ไม่ได้
...ไม่มีประโยชน์ที่จะขับต่อไป เพราะผมไม่รู้จะไปไหน
ผมตัดสินใจจอดรถตรงข้างถนน..

เอาไงดีหว่า..
ใจเย็นๆ.... ใจเย็นๆ.....ตั้งสติไว้บุ้ง.... คิดซิคิด...
ใช่แล้ว...ก่อนอื่นคงต้องหาทางออกจากร่างของจักรยุทธก่อน ร่างของมนุษย์คงไปที่สะพานไม่ได้แน่ๆ เราต้องเป็นวิญญาณถึงจะไปได้..

แต่เราจะออกจากร่างของจักรยุทธได้ไง นางฟ้าสอนแต่วิธีเข้า แต่ไม่สอนวิธีออกนี่
(“แล้วเธอจะรู้วิธีไปที่สะพานเอง”) ผมนึกถึงคำของนางฟ้า
บ้าจัง!
ผมคิดอย่างร้อนรน และหงุดหงิด

เย็นไว้ เย็นไว้ เราฉลาดอย่างนี้ต้องคิดออกแน่ๆ

อือ... ต้องเริ่มคิดจากว่า เราเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้ไง
เราตะโกนว่า “ฉันจะสิงนาย” แล้วก็โดดผลุงเข้ามาเลย
งั้นตอนออกก็น่าจะทำตรงข้าม ไม่น่าจะยาก
ลองเลย!

“ฉันจะออกจากร่างนาย” ผมแหกปากแล้วกระตุกร่างพรืด

ได้ผล!
ผมยังอยู่ในร่างเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมใจเต้นแรง
อะไรวะ!
สงสัยเรากระตุกไม่แรงพอ ไอ้เข็มขัดนิรภัยนี่แหละทำให้กระตุกไม่สะดวก
ผมปลดเข็มขัดนิรภัย..

เดี๋ยวก่อน ...สมองฉับไวของผมคิดได้อีกวิธีแล้ว...

พนมมือท่องนะโมสามจบ..
(เป็นผีแล้วไปท่องนะโมทำไมวะ... )
อ้าว! เค้าว่าท่องคาถาจะไล่ผีออกจากร่างได้ไง
(ท่องคาถาไล่ตัวเองออกจากร่างเนี่ยนะ คิดได้ไง... เวงกำ...)
...ก็ผมต้องลองทำทุกวิธีนี่นา...

วิธีไล่ผีโดยการท่องนะโมไม่ได้ผล
ผมกลับมาตั้งท่าเตรียมกระตุกอีก..
“ฉันจะไม่สิงร่างนายแล้ว” ผมแหกปาก คราวนี้กระโดดสุดแรง
โป๊ก!!!
“โอ๊ยยย”
หัวผมกระแทกกับเพดานรถเต็มแรง
ร่างผมยังอยู่ที่เดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย... หัวผมบวมปูดขึ้น
“อูยยย โนเลยตู” ผมคลำหัวป้อยๆ
“ผิดพลาดตรงไหนวะ” ผมเริ่มงง..แต่งงแป๊บเดียวเท่านั้น
คนฉลาดก็คือคนฉลาดอยู่วันยังค่ำ.. ....ผมหาข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว
“ที่มันแคบน่ะเราเลยโดดไม่สะดวก”
“ออกไปโดดนอกรถดีก่า อิ อิ”
ผมเปิดประตูรถลงไป ลมเย็นสดชื่นพัดมาโดนตัว
“ค่อยยังชั่ว โดดอย่างนี้ต้องออกแน่ๆ 5555 โฮะๆๆๆๆๆ”
“ฉันจะออกจากร่างนาย” ผมแหกปากแล้วกระโดดผลุงออกมาทันที

เย้!

เหมือนเดิมเลย..
อยู่ในร่างเหมือนเดิม..ฮือ ฮือ
ผมเหงื่อแตกพลั่กๆ
เปิดประตูรถ...
ถอดเน็คไทออก...
โยนเข้าไปในรถ...
ถลกแขนเสื้อพับขึ้นมาเลยศอกนิดหน่อย...

แล้วจากนั้นผมก็ทุ่มเทเต็มที่ พยายามกระโดด กระตุก ยึกยัก ตีลังกา กระทืบเท้า บิดตัวไปมา บีบคอตัวเอง ขยี้ผมตัวเอง...
“ออกซิโว๊ย”
ทำยังไงก็ไม่ออก
แล้วผมก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ…

มีอะไรไหวๆอยู่อีกฟากของถนน...
ผมเงยหน้ามอง…
เด็กนักเรียนหญิงสามคน... ดูจากเครื่องแบบแล้วอยู่ ม.ต้น ไม่เกิน ม.สาม คนหนึ่งกำลังชี้ไม้ชี้มือมาทางผม แล้วอีกสองคนก็หัวเราะกันคิกคัก

....ถัดออกไปตรงป้ายรถเมล์ พี่สาวในชุดพนักงานออฟฟิช ก็มองมาท


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #5 on: January 26, 2010, 11:29:39 am
ผมสะดุ้งโหยง

ยัง..ยัง...อาแปะกับอาอึ้มยังไม่ร้ายเท่ากับพี่สาวอีกคนที่อยู่เยื้องออกไป
เธอเป็นตำรวจเพราะสวมชุดสีกากี สวมกระโปรงเลยเข่าไปนิดเดียว หน้าตาน่ารัก ทาปากแดงด้วย มีกระบองห้อยอยู่ที่ข้างเอว
พี่ตำรวจคนสวยมองมาทางผม และกำลังพูดกับวิทยุสื่อสาร
ผมดูสีหน้าท่าทางของพี่สาวแล้วไม่เหมือนกำลังคุยกับกิ๊ก เพราะดูเธอเคร่งเครียดเกินไปและตากลมโตของเธอก็จ้องผมเขม็ง
ผมจับใจความได้ว่า เธอกำลังขอกำลังหนุนเพราะเจอคนบ้าอยู่ข้างถนน
เท้าซ้ายของเธอยื่นออกมาล้ำเท้าขวานิดๆ อีกมือก็กุมกระบองไว้แน่น
ท่าทางเหมือนคนเตรียมวิ่งแฮะ แต่จะวิ่งเข้าชาร์จ หรือวิ่งหนีล่ะ?

ผมไม่อยู่รอวิเคราะห์สถานการณ์หรอกเพราะโดยมารยาทแล้วผมไม่ควรทำให้พี่สาว ลำบากใจ ผมจึงกระโดดขึ้นรถสตาร์ทเครื่อง เหยียบคันเร่งจนมิดบึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยไก่หมดเล้าอีกแล้วตู คราวนี้ต่อหน้าสาวๆเป็นฝูงเลย”
ผมขับรถหน้าร้อนวูบวาบตลอดทาง


เลิฟซี บทที่ 19 – ผมเลี่ยงไม่ได้

ผมจำเป็นต้องขับรถกลีบบ้านเพราะหาทางไปที่สะพานไม่ได้จริงๆ ถ้านางฟ้าไม่เห็นผมก็คงมาตามผมที่นี่ แล้วเราก็จะไปที่สะพานพร้อมๆกัน

ผมหิ้วถุงลงจากรถเปิดประตูเข้าบ้าน

“ทำไมกลับดึกจังล่ะคะจักร” เสียงพี่รุ้งดังขึ้น
ผมดูนาฬิกา สี่ทุ่มกว่า
“ขอผมอาบน้ำก่อนนะรุ้ง เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
พออาบน้ำเสร็จก็เห็นเธอนั่งรออยู่บนเตียง สวมชุดนอนบางๆด้วย แต่สีหน้าของเธอมีแววคาดคั้น
“ว่าไงคะทำไมกลับดึก คิดออกรึยัง”
ชัดเลย... ถามแบบนี้แปลว่าเธอระแวงผมแล้ว
“ผมมัวแต่หาซื้อของให้รุ้งน่ะ”
“หาซื้อของอะไรคะ สี่ทุ่มเนี่ยนะ”
“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียซี่”
ผมพูด แล้วเดินไปที่ถุง หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงมาส่งให้
“อะไรคะ”
“ไม่บอก” ผมพูดยิ้มๆแล้วนั่งลงข้างๆเธอ
เธอเปิดกล่องออกดู แล้วก็อุทาน
“สวยจังเลยค่ะจักร”
ข้างในก็คือสร้อยทองคำห้อยจี้เพชรรูปหัวใจ ผมซื้อมาพร้อมๆกับสร้อยรูปดาวที่ให้กับแคทไป แต่สร้อยของรุ้งเส้นนี้ไม่ได้มีราคาแพงเท่ากับของแคท ตัวจี้เป็นรูปหัวใจเล็กๆ มีเพชรอยู่เม็ดเดียว มันเป็นสีน้ำเงินส่องประกายวูบวาบ
“เพชรสวยจังเลยค่ะจักร คงแพงน่าดูเลยนะ”
“Hope Diamond น่ะ เป็นเพชรที่หายากมากๆเลยละ ผมจะใส่ให้นะ”

Hope Diamond เป็นเพชรที่หายาก แต่ไม่ยากไปกว่า Red Diamond ที่ผมซื้อให้แคท ผมไม่ได้ลำเอียง แม้สร้อยเส้นนี้จะมีราคาไม่แพงเท่า แต่ผมคิดว่า Hope Diamond มีความหมายเหมาะกับพี่รุ้ง ยามที่ผมต้องจากไปผมก็อยากให้เธอมีความหวังต่อไป ความหวังจะทำให้เธอมีชีวิตชีวา มีกำลังใจ...

ผมหยิบสร้อยออกมา เธอหันหลังให้ ผมสวมให้เธอพร้อมกับกอดเธอไว้
“สวยมากๆเลยรุ้ง” ผมชมด้วยความจริงใจ
“แต่รุ้งคงไม่กล้าใส่สร้อยราคาแพงขนาดนี้เดินไปไหนหรอกค่ะจักร รุ้งจะเก็บไว้”
“เอาไว้ใส่ออกงานก็ได้” ผมพูด
“จักรคะ รุ้งมีอะไรอยากจะขอจักร”
“บอกมาเลย ผมให้รุ้งได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
“รุ้งอยากมีลูกค่ะ”
ผมสะดุ้ง
ผมกำลังจะจากเธอไปคืนนี้แล้ว เธอขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้
“โอ๊ย... ไม่เอาหรอก ขืนมีลูก เดี๋ยวรุ้งก็หุ่นเสีย นมยาน ไม่เอา...ไม่เอา รอก่อนดีกว่า”
ผมแกล้งพูดขำๆ แต่เธอไม่ขำกับผมด้วย
“ไม่เอาซิคะจักร อย่าพูดเล่นซิ รุ้งพูดจริงๆนะ”
“ผม...ผม...”
ผมตะกุกตะกัก จะทำยังไงดี ถ้าเธอมีลูกจริงๆ เธอก็จะเป็นม่ายลูกติด หาคนรักได้ยากขึ้น แล้วผมก็ไม่อยากจะทำด้วย นางฟ้าต้องไม่ชอบใจแน่ๆ พูดถึงนางฟ้าผมก็อดเหลียวซ้ายแลขวาไม่ได้

“จักรเป็นอะไรคะ ตอนมีอะไรกับรุ้งก็เอาแต่ใช้นิ้ว แต่รุ้งไม่ว่าจักรหรอก รุ้งตามใจจักรทุกอย่าง แต่ครั้งนี้รุ้งขอ รุ้งไม่เคยขออะไรจักรซักครั้งเลย แล้วรุ้งก็ไม่ได้ขอมากด้วย รุ้งขอในสิ่งที่ภรรยาทุกคนในโลกได้รับจากสามีทั้งนั้น รุ้งไม่ได้ขอเกินเลยไปใช่ไม๊จักร อย่ารังเกียจรุ้งเลย”

น้ำเสียงของเธอน่าสงสาร ไม่มีใครปฎิเสธน้ำเสียงแบบนี้ได้หรอก...
ผมก็เช่นกัน..

เธอยื่นมือเข้ามา ปลดกระดุมเสื้อของผมออก..

...ผมปล่อยให้เธอช่วยถอดเสื้อผ้า แต่ในใจแอบคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ พยายามใช้เหตุผลคำนวณผลได้ผลเสีย เธอจะเป็นยังไงถ้ามีลูก.. แต่ผมไม่สามารถใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ เพราะพอพี่รุ้งถอดเสื้อผ้าให้ผม เธอก็เปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง สมองของผมไม่สามารถทำงานได้ขณะที่สายตาของผมจ้องมองร่างที่มีเสน่ห์ของเธอ ทรวงอกที่เต่งตึง ช่วงท้องน้อยแบนราบ สะโพกผึ่งผายโค้งเว้าได้สัดส่วน

ผมทรุดตัวนั่ง คุกเข่าลงไปตรงที่ประจำตามความเคยชิน
“ไม่ค่ะจักร ไม่ใช่แบบนี้”
เธอดึงผมลุกขึ้นมา
“รุ้งคิดดีแล้วหรือ” ผมถามโง่ๆ
เธอจูบผมแทนคำตอบ
“รุ้งรักจักรค่ะ”

เธอไม่ได้กล้าแบบที่เธอจงใจแสดงออกหรอก ผมสังเกตุว่าชีพจรของเธอเต้นแรงขึ้น มีอาการเกร็ง ตื่นเต้น ซ่อนอยู่
ผมประทับไปบนริมฝีปากเธอ โอบไหล่กลมมนไว้ แล้วเลื่อนมือควานหาความเต่งตึง โอบอุ้มและบีบเบาๆ สำรวจเรือนร่างเธออย่างจริงจัง
“หน้าอกของรุ้งสวยที่สุดเลย”
ผมกระซิบเสียงพร่า โน้มร่างลงบนทรวงอกนั้น จรดริมฝีปากลงจูบมัน รุกไล้ด้วยลิ้นจนมันชูชันขึ้นมา แล้วผมก็เลื่อนไปอีกข้างหนึ่ง ทำแบบเดียวกัน

“โอ จักรคะ..”

พี่รุ้งหลับตา...นอนนิ่ง มือของเธอลูบไล้ศีรษะของผม ผมเลื่อนมือลงไปตรงเนินเนื้อของเธอ สอดนิ้วเข้าไป โลมเล้าให้เธอ พี่รุ้งเกลือกกลิ้งศีรษะไปมาอยู่บนหมอน ขยับเขยื้อนส่วนสะโพกไปมา ขาอ่อนของเธอเสียดสีกับบุ้งน้อย และแล้วผมก็รู้สึกว่าบุ้งน้อยกำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่...เป็นครั้ง แรก ...ทันใดผมก็รู้สึกอับอายกับสภาพของตัวเอง ส่วนลึกของสัญชาตญาณเตือนตัวเองว่าผมไม่ใช่ผู้ชาย... ความรู้สึกที่แทรกขึ้นมานี้ทำให้บุ้งน้อยเริ่มผ่อนคลายทำท่าจะกลับเป็นเด็ก อีกครั้ง...

..แต่แล้วริมฝีปากของพี่รุ้งก็แนบชิดกับใบหูของผม ส่งเสียงหอบสะท้อนออกมา เสียงของเธอทำให้บุ้งน้อยที่กำลังจะถดถอย กลับเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ผมส่งบุ้งน้อยซุกตัวเข้าไปหาความอบอุ่นในร่างเธอ ซึ่งบัดนี้ได้รอรับอยู่แล้ว

“จักรคะ.. โอ...จักร..”
“รุ้ง” ผมอุทานออกมา “ดีเหลือเกิน”

ผมเริ่มแล้ว... เริ่มด้วยความนุ่มนวล...ช้าๆ พี่รุ้งยกแขนปิดหน้าของเธอไว้เหมือนทุกครั้ง แก้มของเธอแดงระเรื่อ ริมฝีปากสวยของเธอเผยออ้าออกส่งเสียงที่ทำให้ผมพุ่งพล่านขึ้นตลอดเวลา แล้วเธอก็ลดแขนลง แอบหรี่ตาดูผม พอเห็นผมจ้องอยู่ก็หลับพริ้มลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ร่างกายของผมสั่นสะเทือนเร่งเร็วขึ้นเหมือนดนตรีจังหวะร็อคที่กำลังโหม บรรเลงอย่างสุดเหวี่ยง... พี่รุ้งครวญคร่ำในขณะผมเร่งพลังแห่งความรุนแรงเร็วยิ่งขึ้น... ยิ่งขึ้น... จนร่างกายของเธอสั่นสะเทือนตาม และแล้วผมก็พาเธอทะยานถึงสวรรค์ชั้นฟ้าพร้อมๆกัน

“วิเศษจริงๆเลยรุ้ง” ผมกระซิบ
“รุ้งรักจักรจริงๆค่ะ” เธอพูดเบาๆอย่างเอียงอาย “ไม่นึกเลยว่าจักรจะทำดีแบบนี้”

ผมกอดเธอจูบเธอเบาๆ แล้วพลิกตัวลงจากร่างเธอ.. พี่รุ้งพลิกร่างเข้าหาผมทันที
ผมกอดเธอไว้ นอนกอดหยอกเย้ากันชั่วครู่ เธอก็ลุกพาร่างเปลือยไปที่ห้องน้ำ
ผมพลิกตัวกลับมาแล้วก็ใจหายวาบ

นางฟ้ายืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าของเธอแดงก่ำก่อนจะเปลี่ยนเป็นขาวซีด
“ฉันรอเธออยู่ที่สะพาน แต่เธอกลับแอบมาหาความสุข... ฉันดูเธอผิดไป... เธอจะไม่เห็นฉันอีกต่อไปแล้ว”
ผมใจหายวาบ ร้องตะโกนลั่น
“อย่าา..ฟ้าเข้าใจผิด... ฟังผมก่อน อย่าเพิ่งไป”
แต่เธอไม่ฟัง ร่างของเธอหายวับไปทันที....


เลิฟซี บทที่ 20 – ผมผิดมากมาย...แต่อภัยให้ผมเถอะ

เช้าวันรุ่งขึ้น พี่รุ้งตื่นมาด้วยความสดใส ใบหน้ามีน้ำมีนวล หยอกล้อผมอย่างมีความสุข ผมฝืนยิ้มทำเป็นมีความสุขไปกับเธอ แต่ภายในใจนั้นห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก

ตอนสายผมเข้าออฟฟิชมาทำงานตามปกติเพราะไม่รู้จะไปไหน พี่บีเอาเอกสารมาเซ็น ผมก็เซ็นโดยไม่สนใจว่ามันคืออะไร
“คุณจักรเป็นอะไรไปคะ หน้าตาไม่สบายเลย” พี่เลขาทักอย่างเป็นห่วง
“ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ” ผมถาม
“ก็ไม่มากหรอกค่ะ แต่ดูไม่สดใสเหมือนทุกวัน”
“ไม่สบายใจนิดหน่อย ขอผมอยู่คนเดียวเถอะนะ”
“ค่ะ คุณจักรจะรับกาแฟรึเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไร บีออกไปทำงานเถอะ”
“ค่ะ”

ผมอยู่ตามลำพังเพื่อหวังที่จะทำใจให้สงบ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวใจของผมร้อนรนหนักขึ้นจนนั่งไม่ติด ต้องลุกเดินไปที่หน้าต่าง มองไปไกลๆ ผ่านตึกสูงระฟ้าเรียงรายไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา

(“เธอจะไม่เห็นฉันอีกต่อไปแล้ว”)
...จริงหรือ... โกรธผมถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
ผมผิดมากมายเลยรึไง? ผมไม่ได้อยากมาอยู่ร่างผู้ชายเลย ผมปฏิเสธตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ นางฟ้าเองนั่นแหละที่บังคับให้ผมมาใช้ร่างของเขา ผมพยายามทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษให้มากที่สุดแล้ว ต่อให้ผู้ชายแท้ๆก็ไม่มีทางเป็นสุภาพบุรุษมากไปกว่าผมได้... ผมมีอะไรกับพี่รุ้งเพราะความจำเป็น ผมไม่ใช่คนเริ่มต้น ผมนอนกับเธอทุกวัน ยากเหลือเกินที่จะไม่หวั่นไหวไปกับความงามของเธอ...

...ผมก็มีหัวใจเหมือนกัน...แม้หัวใจมนุษย์อย่างผมอาจไม่บริสุทธิ์เท่าหัวใจของนางฟ้าก็ตาม
.. เธอคาดหวังผมสูงเกินไปต่างหาก

ความคิดผมกระเจิดกระเจิงเตลิดไปมาอย่างสับสน... เมื่อครบกำหนดสามเดือนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น วิญญาณของผมจะต้องหลุดออกจาร่างของจักรยุทธ ล่องลอยไปอย่างไร้ความหวัง หรือผมจะได้อยู่กับพี่รุ้งจนแก่... แล้วในที่สุดเธอก็จะตายไปได้ไปเกิดใหม่ ส่วนผมกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเหมือนกับเลิฟซีสามคนนั่น....

แล้วผมก็นึกถึงคำสัญญาของนางฟ้า
(“ฉันรับปากเธอ ถ้าฉันช่วยให้เธอไปเกิดไม่ได้ ฉันจะไม่กลับขึ้นไปอีก ฉันจะอยู่กับเธอที่นี่ จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ...”)

เธอโกหก เธอเป็นพี่เลี้ยงของผม.. เธอสัญญาแล้วนะ เธอเลิกสัญญาไม่ได้
ผมร่ำไห้คร่ำครวญ น้ำตาไหลพรากๆออกมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น
ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้... แต่ผมไม่ใช่ผู้ชายจริงๆนี่ ผมแค่ยืมร่างจักรยุทธเฉยๆ
“มาหาผมเดี๋ยวนี้เลย คนโกหก ไม่งั้นผมจะไม่มีวันให้อภัยเธอเด็ดขาด” ผมตะโกนขู่เธอในใจ หวังลมๆแล้งๆว่าคำขู่ของผมจะได้ยินไปถึงเธอ...

“นินทาอะไรฉันอีกล่ะ”
หูผมแว่วอีกแล้ว
...แต่ไม่น่าแว่วถึงขนาดนี้นะ
เพราะผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆด้วย
ผมค่อยๆหันกลับช้าๆ หัวใจเต้นเป็นจังหวะ ผมกลัวความผิดหวัง.. กลัวเหลือเกิน.. แต่เสียงเธอชัดเกินไป... ชัดเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นแค่หูแว่วไปเอง

...เธอยืนอยู่ที่ประตูจริงๆ ใบหน้างามบึ้งตึง... แต่ผมไม่สนแล้ว

“ฟ้า”
ผมแหกปากโห่ร้องด้วยความดีใจพร้อมกับกระโจนเข้าหาเธอเพื่อจะกอดเธอไว้เหมือนทุกครั้ง
“หยุด..” นางฟ้าตวาดเสียงใสกิ๊ก “หยุดตรงนั้นเลย”
ผมหยุดกึก!
“ให้ผมหยุดทำไมล่ะฟ้า” ผมพูดอย่างมึนงง
“ฉันยังไม่ได้ให้อภัยเธอนะ” นางฟ้าพูดพร้อมกับเอามือไพล่หลังเดินวนรอบๆตัวผมซึ่งได้แต่ยืนนิ่งเป็น ตุ๊กตาหิมะ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ได้แต่กลอกลูกตามองตามเธออย่างจ๋องๆ
“ฉันมานี่เพราะอยากฟังเธออธิบายซักหน่อย ไม่งั้นเธออาจจะเอาฉันไปนินทากับเลิฟซีคนอื่นๆได้ว่าฉันใช้อารมณ์ ไม่ให้โอกาสเธอ เธอยิ่งปากจัดอยู่ด้วย อีกอย่างเธออาจจะมีเหตุผลดีๆมาแก้ตัวก็ได้” นางฟ้าว่าขณะที่เดินวนไปวนมาจนผมตาลาย
“ผมมีเหตุผลจริงๆ...”
“หยุด” นางฟ้าตวาดแว๊ด “ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้เธอพูดเลยนะ เลิฟซี”


เลิฟซี บทที่ 21 – ผมพลาดตรงไหน?

“เอาละ ฉันจะถามเธอ แล้วเธอก็ตอบเฉพาะคำถามเท่านั้น ห้ามพูดออกนอกเรื่องเพราะเธอชอบทำให้ฉันไขว้เขวอยู่เรื่อย” นางฟ้าว่า
“ผมขอโทษ” ผมพูดแบบจ๋องๆ
“ก่อนอื่น ทำไมเธอจึงนอนกับรุ้ง”
“ผม..ผมจะอธิบายยังไงดี... พี่รุ้งเป็นคนเริ่มต้น ผมขัดใจเธอไม่ลง... ผมสงสาร..” ผมตอบตะกุกตะกัก
“นั่นไม่ใช่เหตุผล รุ้งคิดว่าเธอเป็นจักรยุทธ เธอฉวยโอกาส”
ผมหน้าแดง
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้ฉวยโอกาส ผมมีเหตุผลจริงๆนะ ฟ้าฟังผมก่อนซิ” ผมพูดอย่างร้อนใจ
“ฉันก็ฟังอยู่นี่ไง อธิบายให้ดีล่ะ เพราะฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
ผมพยายามทำใจให้เยือกเย็น พยายามหาเหตุผลที่ผมมีอยู่แล้วมาเรียบเรียงเป็นคำพูด แต่รู้สึกว่าทำได้ยากเหลือเกินเพราะนางฟ้าเอาแต่ถลึงตาจ้องผม ทำให้ผมไม่มีสมาธิ

“ผมสงสารพี่รุ้งจริงๆนะฟ้า รู้มั้ยวันที่เราพบกันวันแรกพี่รุ้งบอกกับผมว่ายังไง” ใจผมล่องลอยไปถึงวันนั้น “เธอบอกผมว่า ‘รุ้งอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีจักร..’ “
“โห ซึ้งมากเลย...เธอก็เลยช่วยสงเคราะห์ด้วยการฟันซะ นั่นไม่ได้ช่วยอะไรรุ้งเลย เพราะสุดท้ายเธอก็ต้องจากไป แล้วรุ้งก็ต้องอยู่คนเดียว เธอก็ได้กำไรไปฟรีๆ เหตุผลของเธออ่อนมากเลยนะ” นางฟ้าใส่ผมเป็นชุด
“ไม่ใช่อย่างนั้น ว้า! ฟ้าอย่าเพิ่งพูดขัดซิ ผมยิ่งคิดอะไรได้ช้าอยู่ ไม่รู้เป็นไง วันนี้สมองผมไม่ค่อยแล่นเท่าไหร่”
“เธอไม่ต้องใช้สมองมากนักหรอกถ้าเธอไม่พยายามจะโกหก เธอเพียงแต่พูดความจริงก็พอ แล้วฉันจะติดสินเองว่าเธอมีเหตุผลพอหรือไม่”

“จริงของฟ้า แต่ผมพยายามจะเรียงลำดับคำพูดอยู่น่ะ พี่รุ้งเป็นคนอ่อนไหว ผมเข้าใจความรู้สึกเธอมากๆ เลย.... คิดดูนะ ...จะเป็นยังไงถ้าเธอรู้ว่าจักรยุทธตายแล้ว เธออาจจะตรอมใจ และอาจจะคิดสั้นได้”
“เธอไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอก”
“แต่ถ้าผมถูกล่ะ”
“ถ้างั้นมันเป็นชะตากรรม” นางฟ้ายักไหล่ “เธอทำอะไรไม่ได้” เสียงเธออ่อนลงนิดหน่อย
“ผมเคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งพี่รุ้งมาบอกกับผมว่าอยากมีลูก…”
“ยิ่งแย่ใหญ่เลย... เท่ากับโอกาสที่เธอจะหาคนรักใหม่ได้มีน้อยลง”
“ผมว่าพี่รุ้งไม่มองหาคนรักใหม่หรอก เธอรักจักรยุทธคนเดียว เธอจะต้องจมอยู่กับความเศร้าไปจนตายเชียวล่ะ แต่ถ้าเธอมีลูกมันจะเปลี่ยนไป ลูกจะทำให้เธอมีความหวัง เธอจะอยู่เพื่อเขา”
คราวนี้นางฟ้านิ่งเงียบ ผมรู้ว่าเธอเห็นด้วยกับผมแล้ว
“ดังนั้นเธอจึงมีอะไรกับรุ้ง ฟังเหมือนกับเธอช่างเสียสละเสียจริงนะบุ้ง” นางฟ้าพูดประชด
“ผมทำตามหน้าที่ต่างหาก”
“เอาละนับว่าเหตุผลของจำเลยพอฟังได้ แม้ว่าจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย”
“เหตุผลดีเลยต่างหาก ถ้าศาลไม่ลำเอียง” ผมเถียง

“ฉันจะไม่อยากจะเถียงกับเธอเรื่องนั้นหรอก” นางฟ้าตัดบท ผมเริ่มสังเกตว่าเวลานางฟ้าหาเหตุผลมาเถียงสู้ผมไม่ได้ เธอมักจะพูดว่า “ฉันไม่อยากเถียงกับเธอหรอก” ดังนั้นผมจึงอมยิ้ม นางฟ้าทำเป็นไม่สนใจแล้วเริ่มคาดคั้นผมต่อ “แล้วทำไมเธอไม่จูบแคท”
“ผมจูบแล้วนะ”
“เธอโกหก”
“ผมไม่ได้โกหก ผมจูบแล้วจริงๆ ผมจูบแล้วพยายามจะหาทางออกจากร่างของจักรยุทธ แต่ผมออกไม่ได้ ฟ้าสอนวิธีสิงร่างมนุษย์ แต่ไม่ได้สอนวิธีออกจากร่างให้ผมนี่”
นางฟ้ามองหน้าผมเหมือนจะค้นหาความจริง
“ผมไม่ได้โกหกนะ” ผมร้อง
“เธอไม่ได้โกหกจริงๆ” นางฟ้าสรุปออกมา ผมเพิ่งนึกออกว่าเธออ่านความคิดผมได้
“แปลกมากๆ” นางฟ้าพูด “ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
“ผิดพลาดยังไงหรือ สอนผมออกจากร่างซิ แล้วพาผมไปที่สะพาน”
“เธอยังไม่เข้าใจ ตามหลักเมื่อเธอจูบแคทแล้ว วิญญาณเธอจะหลุดจากจักรยุทธแล้วไปที่สะพานเอง”
“แล้วทำไมผมจึงยังอยู่ในร่างจักรยุทธล่ะ”
“นั่นแหละที่ฉันบอกว่ามีอะไรผิดพลาด”
“ผิดพลาดอะไร”
“ฉันไม่รู้”
“เธอไม่รู้หรือ อย่างนี้...อย่างนี้ก็หมายความว่าผมคงจะไม่ได้ไปเกิดแล้ว” ผมทรุดตัวนั่งลงบนเตียงกุมหัว “ผมซวยแน่ นึกไว้แล้ว ไม่น่าหลงเชื่อนางฟ้าฝึกงานเลย”
“หยุดโวยวายเสียทีเถอะ บุ้ง ฉันกำลังใช้ความคิด” นางฟ้าดุเสียงเขียว หน้าจิ้มลิ้มของเธอเอาจริงเอาจัง ทำให้ผมต้องเงียบลง เธอนั่งลงเคียงข้างผม กลิ่นของเธอหอมเหลือเกิน ผมชอบกลิ่นนี้จริงๆ น้ำหอมอะไรหนอถึงน่ากินขนาดนี้ ขอผมจูบได้มั๊ย หรือให้ผมกอดนิดก็ยังดี...

“ห้ามคิดไม่ดีกับฉัน” นางฟ้าดุ พร้อมกับค้อนผม แล้วเธอก็หลับตาเหมือนกำลังใช้ความคิด... โอ...น่ารักเหลือเกิน.. มีสาวน่ารักขนาดนี้มานั่งเคียงข้างมันยากเกินไปที่จะห้ามใจไม่ให้ล่วงเกิน เธอ ผมคิดว่าถ้าต้องนั่งกันอย่างนี้ไปอีกซักนาทีผมคงอดใจไม่ไหวต้องปล้ำนางฟ้า แน่ๆ ดังนั้นผมจึงคิดว่านอนหลับไปดีกว่า แล้วปล่อยให้เธอแก้ปัญหาให้ผม ดังนั้นผมจึงตัดสินใจล้มตัวนอนไปบนเตียง โชคร้ายเหลือเกินที่พอผมล้มตัวนอนไป เธอก็ดันล้มตัวนอนตามลงมาข้างๆผมซะนี่

“เพราะอะไร ผิดพลาดตรงไหน.. ทำไมเธอจึงไม่พ้นสภาพเลิฟซี” นางฟ้าพึมพำซ้ำไปซ้ำมา
“ทำไมฟ้าไม่ลองไปถามอาจารย์ของฟ้าล่ะ” ผมถาม
“อ๋อ แน่ละซิ อาจารย์จะได้ตอหน้าฉันจังๆว่า นังเด็กอวดดี ทำไมถึงซมซานมาขอความช่วยเหลือล่ะ ...แล้วหลังจากนั้นฉันก็จะโดนเขาเยาะเย้ยถากถางไปตลอดชีวิต เธอช่างแนะนำได้ดีจริงๆนะบุ้ง เธอเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ”


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #6 on: January 26, 2010, 11:30:32 am
ผมนิ่งเงียบ ผมน่าจะรู้ว่าคนที่ฉลาดและถือดีอย่างนางฟ้าไม่มีทางยอมแพ้ใคร ดังนั้นคนที่แพ้ซ้ำซากจนชินชาอย่างผมจึงไม่สมควรไปแนะนำเธอ เรานอนกันเงียบๆอยู่เป็นเวลานาน แล้วนางฟ้าก็ถามขึ้นว่า
“จำได้ไหม ฉันบอกเธอว่าจะพ้นสภาพเลิฟซีต้องทำยังไง”
“จำได้ซิ ฟ้าบอกว่า เมื่อได้รับจูบจากคนรักที่รักผมในระดับเดียวกัน”
“และเธอก็จูบแคทแล้ว?”
“ผมจูบแคทแล้วอย่างแน่นอนที่สุด”
“หรือแคทไม่ได้รักเธอ”
“เป็นไปไม่ได้ ผมมั่นใจว่าเธอรักผมจริงๆ ผมไม่โง่หรอก ถ้าแคทเสแสร้งผมต้องรู้ แล้วแคทก็บริสุทธิ์เกินกว่าจะมีมารยาใดๆ”
“ถ้างั้นเพราะอะไร เธอจูบแคทแล้ว... และแคทก็รักเธอ มันน่าจะครบถ้วน.เพราะอะไร ...เพราะอะไร... เดี๋ยวซิ...ฉันนึกอะไรออกแล้ว ฉันนึกออกแล้ว” เธอลุกขึ้นกระโดดโลดแต้นแหกปากร้องออกมาอย่างดีใจ ซึ่งทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที
“เพราะอะไร บอกผมซิ” ผมร้องออกมาอย่างตื่นเต้น จริงๆผมเป็นคนเฉื่อยชาไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรง่ายๆหรอกแต่ท่าทางดีใจของเธอทำ ให้ผมพลอยตื่นเต้นไปด้วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เธอโผเข้ากอดผม ระดมจูบผมอย่างภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง “ฉันคิดออกแล้ว เห็นไหมว่า เธอได้พี่เลี้ยงที่ฉลาดที่สุด” นางฟ้าคุยโว อกนุ่มๆของเธอเบียดผมไปมาจนผมรู้สึกวูบวาบไปหมด ขณะเดียวกันจูบที่หอมหวานของเธอก็ทำให้ผมลืมตัวไปชั่วขณะ หัวใจของผมเต้นแรง แล้วนางฟ้าก็รู้สึกตัว พลิกกายออกจากร่างผม

“บอกผมซิว่าเพราะอะไร” ผมพูดเบาๆหลังจากเรียกสติที่หลุดลอยไปกลับมาได้
“เธอจูบแคท แต่แคทไม่ได้จูบเธอเลย”
“ผมไม่เข้าใจ ผมจูบแคท แคทก็ต้องจูบผมซิ”
“เธอจูบแคทน่ะใช่ แต่แคทไม่ได้จูบเธอ แคทจูบจักรยุทธต่างหาก ลืมแล้วหรือไงว่าแคทเห็นเธอเป็นจักรยุทธ ไม่ใช่บุ้ง” นางฟ้าตะโกน
“ซวยแล้ว!” ผมร้องตะโกนออกมาดังกว่าเธอ หากหัวใจตกวูบอย่างไม่อาจฉุดรั้งกลับมาได้...


เลิฟซี บทที่ 22 – พี่รุ้งท้อง? ...ใช่เหรอ?

“ทำไมทำหน้าหมดอาลัยตายอยากแบบนั้นล่ะ” นางฟ้าถามยิ้มๆ
“ผมจบสิ้นแล้ว ผมไม่มีวันทำให้แคทรักผมได้จริงๆหรอก”
“เธอใจเสาะจังเลย ทำไมถึงท้อแท้อย่างนั้นล่ะ”
“ผมอยู่กับแคทตั้งหลายปียังทำให้แคทรักไม่ได้ แต่จักรยุทธอยู่กับเธอไม่กี่วันก็ทำให้เธอรักได้อย่างง่ายดาย แล้วเราเหลือเวลาไม่ถึงเดือนแล้ว ฟ้าว่าผมจะทำให้เธอเปลี่ยนใจจากจักรยุทธมารักผมได้เหรอ”
“แน่นอน”
“ทำไม”
“เพราะจักรยุทธเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น บุ้งต่างหาก ที่ตามเอาใจแคทตลอดมา”
“แต่แคทไม่รู้”
“งั้นเธอก็บอกแคทซะ บอกพรุ่งนี้เลย”
“ผม...”
“พอแล้ว ฉันจะไปแล้ว ทำตามที่ฉันบอก เล่าความจริงให้แคทฟัง แล้วเราค่อยมาดูกันว่าแคทจะคิดยังไงกับเธอ”
...แล้วนางฟ้าก็หายตัวไป

ผมถอนหายใจ ความสุขที่ได้จูบแคทเมื่อหัวค่ำหายวูบไปหมดเหลือแต่ความท้อแท้ ผมลุกไปอาบน้ำ ใส่ชุดนอนแล้วคลานขึ้นไปนอนข้างพี่รุ้งบนเตียง เธอขยับตัวเล็กน้อยแล้วก็ตื่นขึ้น
“กลับมาแล้วหรือคะจักร” เธอร้องดังๆแล้วเข้ามากอดผม “ใจหายหมดเลย นึกว่าจักรจะไม่กลับมาแล้ว”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ผมจะไม่กลับมาได้ยังไง”
“ก็จักรไม่โทรบอกรุ้งเลยว่าจะกลับดึก จักรไม่เคยหายไปเฉยๆแบบนี้ รุ้งกลัวมากเลยนะ รุ้งกลัวว่าจักรเป็นอะไรไปแล้ว”
“ผมขอโทษ พอดีผมเจอเพื่อนเก่าเลยไปต่อกันนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะดึกขนาดนี้”
“ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ จักรจะไปไหนรุ้งไม่ว่า แต่ขอให้โทรบอกรุ้ง”
“ผมขอโทษ ผมสัญญาว่าไม่ทำแบบนี้อีก” ผมพูดเบาๆ กอดร่างนุ่มๆของเธอไว้ แต่ในใจคิดถึงแคท ถ้าเธอรักผมเท่ากับที่พี่รุ้งรักจักรยุทธซักครึ่งนึง ผมคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

“จักรรู้อะไรไม๊ รุ้งรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล”
ผมใจหายวาบ นึกหวั่นว่าเธอจะเริ่มรู้ตัวว่าผมไม่ใช่จักรยุทธแล้ว
“ อะไรเหรอ” ผมถาม
“รุ้งรู้สึกว่าตัวเองท้องค่ะ รุ้งว่ารุ้งจะมีลูกแน่เลย”
“อะไรกัน เพิ่งทำไปครั้งเดียวจะท้องเลยหรอ” ผมถามงงๆ
พี่รุ้งหน้าแดง
“บ้าจังเลย ทำเค้ามาตั้งนานแล้ว ทำครั้งเดียวที่ไหน”
“เออ จริงสิ” ผมรีบเออออตาม คลำท้องเธอ อืมม...แบนราบเรียบเนียนนุ่ม.. ไม่เห็นท้องเลย... ผมลูบคลำอย่างเพลิดเพลิน “ไม่เห็นป่องออกมาเลย รู้ได้ไงว่าท้อง ลูกดิ้นเหรอ?”
พี่รุ้งหัวเราะคิก
“จักรนี่พูดอะไรก็ไม่รู้ จะดิ้นได้ไงคะ ยังไม่ทันไรเลย แค่รุ้งสังหรณ์ใจเฉยๆ ต้องรออีกสักพักค่ะ รุ้งว่าต้องท้องแน่ๆเลย รุ้งมั่นใจจริงๆนะ”

คำพูดของเธอทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ถ้าเธอท้องแล้วลูกจะเป็นของใคร ของจักรยุทธซิเพราะน้ำเชื้อเป็นของเขา... แต่..เอ....ไม่น่าใช่.... จักรยุทธตายไปแล้วนี่... ต้องเป็นลูกผมซิ... แต่ผมไม่ใช่ผู้ชาย... ผมจะมีลูกได้ไง.... ถ้างั้นก็ต้องเป็นลูกของจักรยุทธ ... ผมมึนงงจนเผลอพูดออกมา
“ใครเป็นพ่อเด็กล่ะ”
พี่รุ้งหน้าแดง ฟาดต้นแขนผมแรงๆ
“พูดบ้าๆอีกแล้ว ก็ลูกตัวเองอ่ะดิ หาว่าเค้ามีชู้หรอ”

ผมมองหน้านวลที่แดงฉานเพราะความอายของพี่รุ้งแล้ว อดทนต่อความน่ารักของเธอไม่ได้ ต้องประกบจูบริมฝีปากบางสวยอย่างดูดดื่ม เธอเผยอปากอ้าออกเปิดทางให้ลิ้นของผมสอดเข้าไป.... หอมหวานเหลือเกิน... มือผมเริ่มสะเปะสะปะไปเกาะที่ปทุมถันเต่งตึงของเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ... มันเป็นไปตามสัญชาตญานหื่นๆของจักรยุทธ... หาใช่ของผมไม่... ดังนั้นจึงไม่มีใครจะกล่าวหาผมได้..(โดยเฉพาะนางฟ้า)

ผมคลึงเบาๆอย่างทะนุถนอม...
....วนนิ้วเล่นกับปลายยอดของเธอด้วย...
....ขยี้เบาๆอีกต่างหาก....

พี่รุ้งร้องครางออกมา ไม่ยอมถูกผมโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว มือนุ่มๆของเธอเริ่มซุกซนบ้าง พอเธอล้วงไปแตะที่บุ้งน้อย ผมก็สะดุ้งถอนตัวออก

“อย่า” ผมร้อง
“ทำไมคะ?”
“ก็รุ้งกำลังท้อง” ผมพูดตะกุกตะกัก
เธอหัวเราะ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า มาเถอะ เด็กโง่!”

เธอดึงจักรยุทธเวอร์ชั่นไก่อ่อนเข้าไปหาอีก มือเธอกลับไปที่ตำแหน่งเดิม คราวนี้เธอเป็นฝ่ายลวนลามผมเต็มตัว ประกบปากจูบผม สอดลิ้นเข้ามา แล้วพลิกตัวทับร่างของผม...
อึ๋ยยยย....ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปผมเสร็จเธอแน่

“ปิดไฟก่อนดีกว่า” ผมร้อง เมื่อดิ้นถอนปากออกจากเธอได้สำเร็จ... หัวใจของผมเต้นตึกตัก
“ไม่ค่ะ....คืนนี้ไม่.... เราจะเปิดไฟอย่างนี้ ถอดกางเกงออกได้แล้ว ผัวจ๋า”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพี่รุ้งพูดทะลึ่งแบบนี้ เธอเป็นคนที่เรียบร้อย...ขี้อายด้วย อะไรทำให้เธอดูสดใสร่าเริงขนาดนี้ หรือเพราะเธอดีใจที่จะมีลูก ความสดใสของเธอทำให้ผมร่าเริงไปด้วย วินาทีนั้นแคทหายไปอยู่ในมุมไหนของหัวใจของผมก็ไม่รู้ แต่ห้องที่ใหญ่ที่สุดของหัวใจมีเพียงผมกับพี่รุ้งสองคนเท่านั้น...

ในขณะที่ความคิดผมกำลังเตลิดเปิดเปิงอย่างไม่มีจุดหมาย พี่รุ้งก็ถอดกางเกงผมออกไปเรียบร้อยแล้ว!


เลิฟซี บทที่ 23 – ผมมีความลับจะบอก

ผมเปิดฉากตอบโต้กลับด้วยการปล้ำถอดชุดนอนของพี่รุ้งออกบ้าง.... ตาของผมลุกโพลง เมื่อได้เห็นทรวดทรงอันงดงามของเธอ... แสงไฟนวลสลัวอาบเรือนร่างอันขาวโพลน มีเพียงกางเกงในสีชมพูปกปิดรูปทรงสามเหลี่ยมไว้เพียงชิ้นเดียว... ผมหยุดชะงักเพียงชั่วครู่ก็กางฝ่ามือยุ่มย่ามอยู่ตรงนั้น... เนื้อผ้าที่บางเบาทำให้ผมรับรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างใน มันมีรูปลักษณ์อย่างไร... รสสัมผัสนั้นช่างปั่นป่วนรัญจวนใจเหลือเกิน ผมร้อนเร่าจนไม่อาจยับยั้งความต้องการของตัวเองได้อีกต่อไป... พี่รุ้งอุทานออกมาเบาๆเมื่อผมรูดกางเกงในของเธอออกไปทางปลายเท้า...

“จักรคะ ปิดไฟก็ได้ค่ะ” คราวนี้เธอเป็นฝ่ายร้องออกมาเอง เลือดฝาดฉีดขึ้นหล่อเลี้ยงพวงแก้มจนแดงเปล่งปลั่ง…

...สายไปเสียแล้ว ผมเกลือกกลิ้งใบหน้าลงบดขยี้ทรวงอกเต่งละมุนของเธอ ไล่จูบคลุกเคล้าไปมา ดูดเม้มปลายยอดสีชมพูเปล่งปลั่งอย่างชื่นอกชื่นใจ.. จากซ้ายไปขวา.. จากขวามาซ้าย... วนเวียนจูบ สูดดมความหวานชื่นอย่างหื่นกระหาย แล้วโลมลิ้นไล้ต่ำลงมาตามผิวเนื้อที่ขาวเนียนจนถึงซอกขา

“อุ๊ย อุ๊ย จักร จักรคะ...”

พี่รุ้งสะดุ้งบิดกายร้องเหมือนคนเป็นไข้ขณะที่ผมฝังหน้าลงบริเวณสามเหลี่ยม ที่เธอหวงแหน ลิ้นของผมสอดส่ายไปมาตรวจสอบทุกอณูอยู่ภายนอก ก่อนจะบุกทะลวงลงไปอย่างไม่หวาดหวั่น ลิ้นวิ่งวนไปรอบๆแล้วแตะส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในนั้น... พี่รุ้งจิกปลายเท้าทั้งสองข้างกับที่นอน ดันร่างโค้งรับปลายลิ้นของผม ร่างเปลือยของเธอระริกด้วยความกระสันของกล้ามเนื้อ ผมไซร้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับเลื่อนมือเปะปะไปตามเส้นโค้งเว้าของผิวเนื้อที่เนียนละมุน จนไปหยุดอยู่ที่ทรวงอก มันอวบอัดหยุ่นมือนัก ผมกดลงไป...คลึงเคล้นอย่างเมามัน ขณะที่ลิ้นยังทำงานอย่างคล่องแคล่ว เธอร่อนสะโพกด่าวดิ้นกับการปรนเปรอของผม ในที่สุดเธอก็ร่ำร้องเสียงสั่น

“พอแล้วค่ะจักร พอแล้ว...รุ้งจะขาดใจตายแล้ว”

ผมเงยหน้าขึ้น ดวงตาปรือของเธอเป็นประกายระยิบด้วยความร้อนแรง... อกอวบสล้างตั้งชันขึ้นเน้นเม็ดสีชมพูสะดุดนัยน์ตา ท่อนขากลมกลึงของเธอแยกถ่างยั่วตายวนใจเหลือที่จะกล่าว ผมขยับตัวขึ้นเดินหน้าลุยโดยไม่รีรออะไรอีกแล้ว... พี่รุ้งสะดุ้งเฮือกเผลออุทานออกมา เมื่อผมสอดแทรกเข้าไปในร่างเธอ สัมผัสจากเนื้อในที่อ่อนนุ่มบีบกระชับ เร่งเร้าให้อารมณ์ของผมคุกรุ่นขึ้นไปเรื่อยๆ ผมขยับเขยื้อนตัวอย่างช้าๆ

“อืมม ดีจังค่ะ จักร”

เสียงครวญแผ่วสะท้านออกมา ใบหน้างามหงายเชิดขึ้น ผมเริ่มตบเกียร์สูงขึ้นเรื่อยๆ ...สอง...สาม..สี่... บรรเลงเพลงรักใส่เธออย่างหนักหน่วง... เนื้อตัวพี่รุ้งสั่นสะท้าน หอบหายใจแรง มือของเธอจิกที่ไหล่ผม สะบัดหน้าจนผมสลวยปลิวกระจาย

“โอ...ไม่ไหวแล้วค่ะ จักร...โอ ดี...ดีเหลือเกิน”
“ดีก็ช่วยผมด้วยซิ”
“อืมมม โอ ค่ะ…”

พี่รุ้งร้องครวญคราง เรือนผมกระจายตกปกหน้ายุ่งเหยิงดูเซ็กซี่เหลือเกิน อ้อมแขนละมุนของเธอเหนี่ยวรอบคอผมไว้ บั้นท้ายเสน่ห์ของเธอเด้งลอยสวนรับการกระแทกของผมอย่างแรง พี่รุ้งส่ายหน้า สูดลมหายใจทางปากสลับกับเสียงอุทานสั้นๆ สองมือผละลงจิกขยุ้มเตียง ร่อนสะโพกไปมาในขณะที่ผมบดกระแทกถี่ยิบ ทรวงอกอวบขาวของเธอสั่นกระเพื่อมไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว ยั่วยวนจนผมต้องก้มลงดูด ขบ เม้มที่ยอดอกสีชมพู เสียงพี่รุ้งครางกระเส่าแสดงถึงความกระสันที่ท่วมท้น ผมเร่งแรงขึ้น... ถี่ขึ้น... หนักหน่วงขึ้น... ความร้อนวูบวาบแล่นซ่านกระจายไปทุกขุมขนไม่ขาดตอน ผมยิ่งเร่งพี่รุ้งยิ่งร้องครวญครางแสดงถึงอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิง...

...เราพากันทะยานสู่ห้วงแห่งความสุขสม โลกทั้งโลกถูกเราทิ้งไว้ห่างไกล มีเพียงผมกับพี่รุ้งเท่านั้นที่ดำรงอยู่

“โอยยยย...จักร... รุ้งไม่ไหวแล้ว... .

ร่างงามของพี่รุ้งแอ่นเกร็งกระตุก เอามือโอบหลังผมไว้แน่น...
.....ในที่สุดผมก็ระเบิดความสุขออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ …

“จักรคะ..รุ้งมีความสุขเหลือเกิน... รุ้งรักจักรค่ะ” เธอกระซิบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น ผมเห็นน้ำตาคลออยู่ที่ดวงตากลมสวยของเธอ

“ผมก็มีความสุขเหมือนกัน”
ผมพูดอย่างสับสน น้ำเสียงของเธอเปี่ยมด้วยความสุข แต่ดวงตาของเธอดูเศร้าเหลือเกิน ผมกอดเธอไว้แนบแน่น พี่รุ้งทำให้ผมมีความสุข แต่ในความสุขนั้นเจือปนด้วยความสงสาร... ความหวานชื่น...และความรู้สึกผิดผสมกันอยู่ในสัดส่วนที่เท่าๆกัน...

ผมไม่ใช่จักรยุทธ... แม้ผมจะเป็นทอม แต่ร่างกายที่ผมขอยืมใช้เป็นชายเต็มตัว... สำนึกแห่งความรู้ผิดชอบชั่วดีบอกว่าผมไม่ควรจะเอาเปรียบเธอ ผมอยู่กับเธอเพราะความจำเป็นและเพียงช่วงเวลาสั้นๆ... ไม่ว่าผมจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสภาพเลิฟซีได้หรือไม่ ผมก็ต้องไปจากเธออยู่ดี... พี่รุ้งที่น่าสงสาร.. เธอจะรับรู้ถึงการสูญเสียคนรักในอีกไม่กี่วันนี้... ผมร้องไห้ออกมาเงียบๆ.. ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้...

....ทุกอย่างเป็นไปเพราะมันต้องเป็นไป
“มันเป็นชะตากรรม”
....นางฟ้าเรียกมันแบบนั้น

วันต่อมา ผมนัดแคทออกมาเที่ยว เธอร่าเริงสดใสกว่าทุกวัน... จูบของผมทำให้ความสัมพันธ์ของเราก้าวไปอีกขั้น แต่คำสารภาพของผมอาจสะบั้นความสัมพันธ์ให้สิ้นสุดลง ในใจของผมวิตกกังวล และรู้สึกขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก

....แคทจะทำยังไงเมื่อผมบอกความจริงให้เธอรู้ ...ผมหวั่นวิตกเกินกว่าจะกล้าคาดเดา...

ผมยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด ..ดื่มด่ำความสุขให้เต็มที่ ...เราไปทานอาหารกันที่ร้านประจำ ดูหนังที่เธอโปรดปราน เดินซื้อของตามร้านที่เธอชอบ จนถึงตอนค่ำผมจึงไปส่งเธอที่บ้าน หัวใจของผมหวิวไหว ถึงเวลาที่จะบอกความจริงให้แคทรู้แล้ว....

“แคท..เดี๋ยวก่อน พี่มีอะไรจะบอก” ผมเรียกเธอขณะที่เธอหอบหิ้วข้าวของทำท่าว่าจะเปิดประตูรถ
“อะไรคะ”
เธอถาม ดวงตาของเธอเป็นประกาย... แคทสวยเหลือเกิน... ผมได้แต่เหม่อมองเธอ ไม่กล้าพูดความจริง... ผมยังไม่พร้อม... ผมยังไม่พร้อมกับการสูญเสียเธอ... ผมไม่อยากสูญเสียเธอ... ถ้าผมไม่ใช่เลิฟซี... ถ้าผมมีเวลาไม่จำกัด ผมจะปกปิดความลับของผมเอาไว้จนชั่วชีวิตแล้วอยู่กับเธอชั่วนิรันดร์ ...แต่มันเป็นไปไม่ได้ เวลาของผมเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

“แคทฟังพี่ให้ดีนะ พี่จะบอกความลับให้ฟัง มันอาจจะดูไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นความจริง”
“โห... พี่จักร ความลับอะไรคะ น่าตื่นเต้นจังค่ะ” เธอร้องออกมา ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันทำให้ผมใจสั่นแล้วก็ว่อกแว่ก ผมหันซ้ายหันขวา ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย ผมเหม่อมองดูริมฝีปากสวยน่าจูบของเธอ ผมควรจะจูบเธอก่อนดีหรือเปล่า?... เมื่อคืนผมยังจูบไม่ดูดดื่มเลย ผมควรจะจูบอีกทีดีกว่า อย่างน้อยถ้ามีอะไรผิดพลาด จูบครั้งนี้จะชดเชยความเจ็บปวดที่ผมอาจจะได้รับ หลังจากที่เธอรู้ความจริง...

“เร็วซิคะพี่จักร แคทรออยู่นะ ทำให้เค้าอยากรู้แล้วยังลีลา” เธอพูดทำลายบรรยากาศโรแมนติค ขณะที่ผมกำลังซึ้งอยู่กับความคิดของตัวเอง..
“พี่บอกแล้วแคทอย่าโกรธพี่นะ”
“ทำไมแคทจะต้องโกรธล่ะคะ” เธอพูดอย่างงๆ “ความลับอะไร บอกมาเร็วๆ ถ้าไม่บอกแคทจะโกรธจริงๆด้วย”
“ความลับก็คือ... ที่จริง..พี่..เอ้อ..เราไม่ใช่จักรยุทธหรอก” ผมพูดตะกุกตะกัก พยายามหักห้ามความปวดร้าวและหวั่นไหว แล้วตัดใจสารภาพออกไปดังๆ “จริงๆ เราคือบุ้ง!”


เลิฟซี บทที่ 24 – ..เธออยู่..ฉันอยู่..

ผมกลับมาถึงบ้านอย่างห่อเหี่ยว

“เป็นอะไรไปบุ้ง เมื่อคืนฉันก็ว่าเธอดูแย่แล้ว ตอนนี้ดูแย่กว่าเมือคืนอีก เธอเหมือนศพเดินได้เลย” นางฟ้าทักทาย
“ขอบคุณนะที่ช่วยบอก ผมหมดกำลังใจแล้ว ต่อไปนี้ผมต้องกลายเป็นผีเร่ร่อนไม่มีวันได้ผุดได้เกิด”
“เลวร้ายขนาดนั้นเชียว? เธอบอกความจริงแคทแล้วหรือยัง”
“บอกแล้ว”
“เธอเชื่อหรือเปล่า”
“ตอนแรกไม่เชื่อ ผมเลยใช้ไม้ตาย”
“ไม้ตายอะไร”
“ผมพิสูจน์ให้แคทรู้ว่าผมเป็นผีจริงๆน่ะซิ”
“พิสูจน์ยังไง”
“จำตอนที่แคทกับกิ๊ฟท์มีอะไรกันหลังจากที่ตำรวจจับรุ่นพี่บ้ากามเข้าคุกได้ไม๊ล่ะ”
“จำได้ซิ” นางฟ้าหน้าแดง “สองคนนั้นแอบไปกุ๊กกิ๊กกันสองคน”
“ผมบอกแคทว่าผมอยู่ในห้องนั้นด้วยแต่ผมเป็นผีแคทจึงมองไม่เห็นผม เหอๆ ผมบอกเธอว่าผมเห็นเธอหมดเลย แคทโป๊.. กิ๊ฟก็โป๊.. โป๊ทั้งตัว... คิกคิก ผมบอกแคทต่อไปว่า ผมจำคำพูดได้หมด กิ๊ฟท์ทำแคทบนเตียง กิ๊ฟถามแคทว่า “กิ๊ฟสู้พี่กบได้ไม๊” แคทตอบว่า “ได้..ได้..” กิ๊ฟท์ก็ถามว่า “เก่งกว่าหรือเปล่า” แคทก็ตอบว่า “เก่งกว่าจ้ะ..กิ๊ฟท์เก่งกว่า” ผมสาธยายรายละเอียดทุกคำพูดอย่างนี้แคทจะไม่เชื่อได้ไงว่าผมเป็นผี เหอๆ”
นางฟ้าหัวเราะงอหาย “ร้ายกาจจริงๆ แล้วแคทว่าไง”
“ถ้าฟังต่อไปจะไม่ขำแล้วละ” ผมพูดเสียงอ่อยๆ
“เล่าต่อเหอะน่า ฉันกำลังลุ้น เล่ามาเร็วๆ เล่าให้ละเอียดด้วย บอกว่าแคทมีสีหน้าท่าทางยังไง มันถึงจะได้อารมณ์”
“นี่ฟ้าหาความสำราญกับความเจ็บปวดของผมหรือนี่” ผมพูดอย่างแปลกใจ
“ใครว่า” นางฟ้าลอยหน้าลอยตาพูด “ฉันต้องรู้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆทั้งหมดถึงจะวิเคราะห์สถานการณ์ได้ตรงจุด เอาละ บอกมาได้แล้วว่าแคทฟังแล้วเป็นไง สีหน้าแคทเป็นยังไง”
ผมนึกสีหน้าของแคทนิดนึงแล้วเล่าต่อ
“พอแคทเชื่อว่าผมอยู่ในห้องจริงๆ เธอก็หน้าซีดเลย มหัศจรรย์จริงๆนะฟ้า เพราะแค่แป๊บเดียวหน้าแคทก็เปลี่ยนเป็นแดง.. แล้วก็กลายเป็นเขียว.. แล้วก็กลับมาแดงอีก โอย..ผมไม่อยากคิดถึงเลย”
“แล้วไงต่อ” นางฟ้าพูดอย่าตื่นเต้น
“แล้วเธอก็ตบหน้าผมน่ะซิ”

นางฟ้าปล่อยก๊ากออกมาทันที

“ผมชักจะโกรธแล้วนะฟ้า” ผมร้องออกมา “ถ้าฟ้าไม่รู้ว่าสถานการณ์มันเลวร้ายยังไงผมจะเล่าให้ฟัง แคทบอกว่า “อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” แล้วเธอก็ลงจากรถ ของที่ผมซื้อให้ก็ไม่เอาไปด้วย ..เอาละ คราวนี้เชิญฟ้าหัวเราะให้เต็มที่ แต่ผมขอบอกให้รู้ว่า ถ้าผมเป็นผีไม่ได้ไปผุดไปเกิด ฟ้าก็ต้องอยู่ที่นี่กับผมด้วยตามสัญญา อย่าคิดว่าผมจะใจอ่อนปล่อยให้ฟ้าลอยนวลกลับไปนะ”
“โอ้โฮ ดุจังเลย ไหนขอดูซิว่าหลังอานรึเปล่า เค้าว่าหลังอานดุนะ” นางฟ้าพูดแล้วคลำหลังของผม
“นี่ ผมไม่ขำเลยนะฟ้า” ผมคำรามออกมาด้วยความโกรธ

“หยุด” นางฟ้าดุ แล้วเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากผม
โอ..นางฟ้าต้องใช้คาถาอาคมแน่ๆ เพราะเพียงแค่นิ้วเธอสัมผัสกับริมฝีปากผมเท่านั้น ผมก็อ่อนระทวย วาบหวิวไปทั้งตัว
“เธอนี่เอาแต่คิดในแง่ร้ายนะ เธอต้องคิดในแง่ดีบ้าง”
“โดนตบหน้าตัดสัมพันธ์จะคิดในแง่ดีได้ไง” ผมเถียง
“นั่นแหละดี... ดีมากๆ”
“นี่ฟ้าไม่สบายรึเปล่าเนี่ย” ผมพูดอย่างเป็นห่วง เอาหลังมือไปแตะหน้าผากเธอ “เอ... ตัวก็ไม่ร้อน”
นางฟ้าหัวเราะคิก
“เธอนี่ตลกจริงๆเลยบุ้ง ฉันเป็นนางฟ้า ไม่มีร่างกาย เชื้อโรคสัมผัสฉันไม่ได้ นางฟ้าไม่มีเจ็บป่วยหรอก”
“จริงเหรอ”
นางฟ้าถอนใจ
“จริงสิ.... แล้วเธอก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะผิดสัญญา ฉันเต็มใจที่จะรับประกันชะตากรรมของเธอด้วยชะตากรรมของฉัน ..ถ้าเธอต้องติดอยู่บนโลกที่นี่ ฉันก็จะอยู่กับเธอที่นี่...เธออยู่..ฉันอยู่.. ไม่มีวันที่ฉันจะผิดสัญญา แล้วฉันก็ไม่เสียใจซักนิดที่เอาชะตากรรมไปผูกติดกับเธอ”
“ฟ้า” ผมร้องออกมา เตรียมจะกอดจูบเธอด้วยความตื้นตันใจ..แต่นางฟ้าเอามือยันอกผมไว้ซะก่อน
“อย่าตื้นตันใจบ่อย” นางฟ้าพูดอย่างรู้ทันไม่ยอมให้ผมกอดจูบ ผมเลยเอามือเกาหัวแก้เก้อ นางฟ้าค้อนผมแล้วพูดต่อ
“ฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอจะต้องทำได้ อย่าเอาแต่คิดในแง่ร้ายซิ มันจะบั่นทอนกำลังใจ หัดคิดในแง่บวกบ้าง ความคิดในแง่บวกจะทำให้เธอมั่นใจ”
“แต่ผมคิดในแง่บวกไม่ออกนี่” ผมสารภาพเสียงอ่อยๆ
“งั้นฉันจะช่วยคิดให้... ฟังนะ ถ้าแคทไม่โกรธไม่รู้สึกอะไรเลยนั่นถึงจะเลวร้าย เพราะเท่ากับบุ้งไม่มีความหมายในจิตใจของเธอเลย ลองคิดดูซิ แคทหลงรักผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเป็นเดือนๆ โดยไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นคือบุ้ง พอมารู้ความจริงแบบกะทันหันจะทนรับได้ยังไง แคทรักบุ้ง แต่บุ้งทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลก”
“แคทคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ”
“ใช่สิ”
ผมมองหน้านางฟ้า เธอเห็นผมลังเล เลยพยักหน้าย้ำความเชื่อมั่นให้ผม
ผมคิดถึงความเป็นไปได้นิดนึง แล้วโพล่งออกมาด้วยความสงสัย
“ฟ้าไม่ใช่แคท รู้ได้ไงว่าคิดถูก”
นางฟ้ายิ้มหวาน
“บุ้งก็ไม่ใช่แคท รู้ได้ไงว่าฉันคิดผิด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เห็นมั๊ยว่านี่คือความแตกต่างระหว่างความคิดในเชิงลบกับความคิดในเชิงบวก ความคิดในเชิงลบจะทำให้ท้อแท้ แต่ความคิดในเชิงบวกทำให้มีพลังในการต่อสู้ โดยเฉพาะในกรณีนี้เธอยอมแพ้ไม่ได้ ท้อแท้ก็ไม่ได้ อย่าให้ความคิดในเชิงลบทำลายตัวเอง แคทกำลังสับสน แคทมีความรักแล้ว รักแรกลึกซึ้งและไม่สามารถลบเลือนได้ง่ายๆ”
นางฟ้าพูดอย่างยืดยาว ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมา...เอ้อ..นิดนึง
“ผมพอจะเข้าใจแล้ว ผมควรทำยังไงต่อไป”
นางฟ้าชูกำปั้นน้อยๆของเธอขึ้นมา พูดอย่างเกรี้ยวกราดดุดัน
“เดินหน้าลุย! ตื๊อแคทออกมา... ชวนเธอออกมาให้ได้ ถ้าเธอยอมออกมาเมื่อไหร่ก็หาทางจูบเธอซะ ถ้าเธอขัดขืนก็ปล้ำเธอเลย” นางฟ้าดีดนิ้ว”สำเร็จแน่”
“มั่นใจเหรอ” ผมพูดเสียงอ่อยๆ
“โคตรจะมั่นใจเลย หน้าโง่! ฉันหนุนหลังเธอเต็มที่จะกลัวอะไร บอกแล้วไงว่าเธออยู่ ฉันอยู่ ฉันจะอยู่กับเธอที่นี่ เป็นกำลังใจให้เธอตลอดไป”

ผมตื้นตันใจจนพูดไม่ออก เลยดึงร่างของเธอมากอดไว้ตามสัญชาตญานของคนอ่อนไหว คราวนี้เธอยอมให้ผมกอด แต่แค่แป๊บเดียวเองเธอก็ดิ้นยุกยิก
“เอาละ.. พอแล้ว” นางฟ้าดันร่างผมออก หน้าขาวใสของเธอแดงซ่าน“เธอเข้าใจที่ฉันพูดแล้วนะ” นางฟ้าย้ำ
“เข้าใจแล้วครับผู้กอง” ผมยกมือวันทยาหัตถ์
นางฟ้าหัวเราะคิก
“เอาละ เข้าใจก็ดีแล้ว” นางฟ้าพูดแล้วก็ถอนหายใจออกมา “ฉันเป็นห่วงเธอเรื่องนี้แหละ เพราะฉันต้องจากเธอไปอาทิตย์นึง”
ผมหยุดยิ้มสะดุ้งเฮือก “อะไรนะ ฟ้าไปตอนนี้ไม่ได้ ตอนนี้เป็นเวลาที่ผมต้องพึ่งฟ้าที่สุด ไม่มีฟ้าผมทำอะไรไม่ถูก ฟ้าไปไม่ได้นะ”
“อย่างอแงเป็นเด็กไปหน่อยเลยน่า” นางฟ้าหัวเราะพร้อมกับตบไหล่ผม “เธอทำได้อยู่แล้ว ฉันมีธุระต้องกลับขึ้นไปข้างบน แล้วฉันจะรีบกลับมา ...ไปละ”
“เฮ้..ไม่นะ..ผิดสัญญาแล้ว ผิดสัญญาแล้ว” ผมร้องออกมา
แว๊บบบ นางฟ้าหายตัวไป
“เธอผิดสัญญานะฟ้า ไหนบอกว่า ..เธออยู่..ฉันอยู่ไง” ผมโวยวาย
“อีกเจ็ดวันฉันจะมา” เสียงเธอแผ่วอยู่ในหูของผม

“พูดกับใครคะจักร” เสียงพี่รุ้งดังงัวเงีย
“เปล่าฮะ”
“อย่าเสียงดัง เค้าจะนอน” พี่รุ้งดุ
“ทราบแล้วค๊าบบบบบ” ผมครางเสียงอ่อยๆรีบไปอาบน้ำ สวมชุดนอน แล้วคลานขึ้นไปนอนบนเตียง พี่รุ้งนอนตะแคงหันหลังให้ผม เส้นเว้าเส้นโค้งอ่อนไหวนุ่มนวลน่ากอดยิ่งกว่าหมอนข้างซะอีก แต่ผมกลัวโดนดุจึงไม่กล้ายุ่งกับเธอ ได้แต่นอนคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ

...เฮ้อ ปัญหามันเยอะเพราะผมมาอยู่ผิดเพศนั่นแหละ มันทำให้ผมทำอะไรเปิ่นๆอยู่ตลอดเวลา ผมขาดความมั่นใจในตัวเอง.. แต่จะโทษใครได้ล่ะ.. ตอนแรกนางฟ้าหาร่างผู้หญิงสวยๆ รวยๆให้แล้ว ผมดันงอนเธอ ไม่ยอมไปสิงเสียนี่ ผมเป็นคนทำลายโอกาสของตัวเอง อืมม...นี่เป็นความคิดด้านลบอีกแล้ว นางฟ้าบอกให้เราคิดด้านบวก... บางทีการมาสิงร่างผู้ชายอาจจะดีกว่าก็ได้.... ถ้าเราไปสิงร่างผู้หญิงอาจจะมีปัญหาอย่างอื่น อย่างเช่น...อย่างเช่น.. ถ้าเราอยู่ในร่างผู้หญิงคนนั้น เราก็ต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วเราก็อาจจะโดนผู้ชายกอดจูบ อึ๋ยยย...ขนลุกว่ะ ตายแน่เรา ...แต่ถ้ามันเลวร้ายไปกว่านั้นล่ะ ถ้าเธอมีผัวแล้ว เราก็ต้องโดนผัว...
แว๊กกก!!!!!!!!
หยุดคิด... หยุดคิดเดี๋ยวนี้ กึ๋ยยย สยองสุดขีด!
โชคดีเหลือเกินที่เรามาสิงร่างผู้ชาย รอดมาได้อย่างหวุดหวิดเลยว่ะบุ้งเอ๊ย มาอยู่ร่างจักรยุทธดีที่สุดแล้ว อยู่กับพี่รุ้งนี่ดีที่สุดเลย... ผมไม่เห็นต้องรู้สึกผิดกับพี่รุ้งเลย ผมทำให้พี่รุ้งมีความสุขต่างหาก
โอ๊ยยย ผมรู้จักพลังของความคิดทางด้านบวกแล้ว

ผมหวนกลับไปคิดถึงแคท....

...ผมเคยชิงหัวใจของแคทมาได้แล้ว
แต่แคทมาเอาหัวใจของเธอกลับไป...
...ผมจะชิงหัวใจของเธอกลับมาใหม่
คราวนี้ผมจะชิงกลับมาในสถานะของบุ้งไม่ใช่จักรยุทธ!

ผมรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในฉับพลัน ความเชื่อมั่งพุ่งพล่านทะยานขึ้นเต็มร้อย ทำให้ผมร้อนเร่า กระเส่าไปทั้งตัว... นับเป็นความเชื่อมั่นขั้นสูงสุดตั้งแต่มาสิงร่างจักรยุทธ..ไม่ใช่สิ ...ตั้งแต่ที่ผมลืมตาขึ้นมาดูโลกเลย...
ผมเริ่มสัมผัสมิติใหม่ของชีวิต...
...พลังของความคิดด้านบวกเริ่มทำงานแล้ว
..เธออยู่ ..ฉันอยู่
...อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน...นางฟ้าผู้แสนดีของผม


เลิฟซี บทที่ 25 – เธอดีกับฉันจริงๆหรือ

วันต่อมาผมโทรไปหาแคทแต่เธอไม่ยอมรับสาย ..
อืมม..เธออาจต้องการเวลาในการทำใจ ผมปลอบใจตัวเอง ในระหว่างนี้ผมก็เข้าบริษัทไปทำงานตามปกติ วันที่ 2..3..4.. แคทก็ยังไม่ยอมรับสาย ... จนกระทั่งถึงวันที่เจ็ด ผมเริ่มร้อนใจ ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่มีอะไรคืบหน้าเลย นางฟ้าใกล้จะกลับมาแล้ว ถ้าเธอรู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย เธอต้องว๊ากผมแน่ๆ ในขณะที่ผมกำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้นโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

“ว๊ากกกกกก .........แคท” ผมโห่ร้องด้วยความดีใจเมื่อเห็นแคทเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเอง

“หวัดดีแคท” ผมตะโกน
“บุ้ง...วันนี้ว่างหรือเปล่า”
“ว่างมาเจ็ดวันแล้ว”
“ออกมารับแคทนะ”
“ตอนไหน?”
“ตอนนี้เลย... ได้ไม๊”
“ได้ซิ เราจะไปเดี๋ยวนี้”

โอ๊ย! โอกาสของผมมาแล้ว คืนนี้ผมจะต้องจูบเธอ แล้วเรื่องก็จะจบแบบ happy ending เหมือนกับนิทานชั้นดีที่ไม่ควรทำร้ายจิตใจของพระเอก โดยเฉพาะพระเอกที่หัวใจเปราะบางแบบผม...จินตนาการของผมเตลิดเปิดเปิงไปไกล แล้ว

“แคท ทำไมไม่ยอมรับสายเราเลย เรานึกว่าเธอจะไม่ยอมพบเราอีกแล้ว” ผมถามแคทขณะที่นั่งอยู่ในร้านอาหารประจำของเรา
“แคทกลัวบุ้งน่ะซิ” เธอพูดเสียงสั่นๆ
“กลัวเราทำไม” ผมถามอย่างแปลกใจ
“ก็บุ้งเป็นผีนี่”

ผมสะดุ้งเพราะคิดไม่ถึง.. จริงสิ ผมเป็นผี แต่เนื่องจากผมไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ดังนั้นบางครั้งผมก็ลืมไปว่าตัวเองเป็นผี
อือ...ใครๆก็กลัวผีกันทั้งนั้นแหละ ที่แคทหลบหน้าผมก็เพราะเธอกลัวผมไม่ได้โกรธผมซักหน่อย โอ๊ยย ความมั่นใจของผมกลับมาแล้ว


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #7 on: January 26, 2010, 11:31:12 am
“ใช่เราเป็น ผี แต่ผีไม่น่ากลัวหรอกแคท ขนาดเรายังไม่กลัวเลย เราให้แคทลองจับมือเราก็ได้” ผมยื่นมือไปแตะที่หลังมือเธอ แต่แคทชักมือออก
“เราเป็นผีก็จริง แต่ผีบุ้งเป็นผีพิทักษ์คุณธรรม คอยปกป้องคนรักจากความชั่วร้าย ตราบใดที่บุ้งอยู่จะไม่มีใครทำร้ายแคทได้” ผมคุยโว
แคทมองหน้าผมอย่างแปลกใจ
“เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะบุ้ง”
“เปลี่ยนยังไงเหรอ หล่อขึ้น มีเสน่ห์ขึ้นใช่มั้ย”
แคทหัวเราะ
“อันนั้นไม่ต้องสงสัยหรอก ปกติเธอก็หล่ออยู่แล้ว แต่ที่แคทพูดหมายถึงเมื่อก่อนบุ้งดูเงียบๆ ขรึมๆ ออกจะ อือ..ซึมๆด้วย แต่ตอนนี้เธอดูร่าเริง แล้วก็พูดเก่งขึ้น จะบอกว่ามีเสน่ห์ขึ้นก็คงได้”
“แล้วแคทชอบไหมล่ะ เราทำให้แคทหวั่นไหวใช่มั้ย แคทรักเราแล้วใช่มั้ย” พอเธอชมผมก็เดินเกมรุกเข้าไปที่หัวใจเธอทันที
“อยากให้ตอบจริงๆมั้ยล่ะ”
“แน่สิ”
“ไม่บอกดีกว่า”
เธอพูดแล้วก็หัวเราะคิก ผมมองหน้าเธออย่างตะลึงลาน แคทช่างน่ารักเหลือเกิน.. แค่เธอหัวเราะผมก็หลงใหลจนพูดอะไรไม่ออก แคทเห็นผมจ้องหน้าเธอก็ก้มหน้าหลบตาผม
สักพักเธอก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่
คราวนี้ใบหน้าของเธอดูหมองเศร้าลง
“เธอสิงร่างพี่จักรอยู่ใช่ไหมบุ้ง ตอนนี้เขาเป็นไง เจ็บปวดรึเปล่า หรือแค่หมดความรู้สึกไปเหมือนโดนยาสลบ”
ผมใจหายวูบ
“แคทเป็นห่วงจักรยุทธหรือ แคทคิดว่าเราทำร้ายจักรยุทธหรือ”
“เปล่า แคทแค่ถามดู ตอบแคทก่อนสิว่าพี่จักรเป็นไงบ้าง” เธอถาม
“เขาตายแล้ว” ผมตอบเสียงเรียบ
“ตายแล้ว” แคทอุทาน
“ใช่ เขาตายแล้ว ตายแหง๋แก๋ เราถึงสิงร่างเขาได้”
แคทยกมือปิดปาก ดวงตาของเธอเบิกกว้าง
ผมถอนหายใจ
“แคทไม่รู้จักตัวจริงของจักรยุทธหรอกน่ะ” ผมอธิบาย “เราอยู่ในร่างเขาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราคุยกันก็เป็นเราแล้ว ไม่ใช่จักรยุทธ” ผมย้ำเตือนเพื่อให้แคทหยุดคิดถึงเขา เธอพยักหน้าน้ำตาคลอ
“แคทเข้าใจแล้ว ทำไมบุ้งไม่บอกความจริงแคทตั้งแต่แรก ทำไมต้องปิดบังแคท”
“ก็เรา..” ผมอึกอัก เพราะไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ก่อน ผมจะบอกแคทได้ยังไงว่า ผมคิดจะอาศัยคุณสมบัติที่เพียบพร้อมของ จักรยุทธ เพื่อหวังจูบจากเธอ ขืนผมบอกเธอมีหวัง...
“เรามีความจำเป็นน่ะ แคทอย่าถามเราเรื่องนี้ได้มั๊ย” ผมวิงวอน

แคทเงียบไป มีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง
“แคทมีอะไรจะขอให้บุ้งช่วย”
“อะไรเหรอ บอกมาเลย” ผมดีใจที่เธอเปลี่ยนเรื่องพูด
“คือ แคทอยากจะเปิดร้านกิ๊ฟชอพน่ะ แคทเห็นของสวยๆในอินเตอร์เน็ทเยอะเลย บุ้งรู้ไม๊ว่าแคทอยากมีร้านแบบนี้มานานแล้ว แต่ติดที่เงินทุนนี่แหละ แต่ตอนนี้คงมีทางที่ฝันของแคทจะเป็นจริงแล้วใช่ไหมล่ะ เพราะตอนนี้บุ้งช่วยแคทได้”
“แคทจะทำได้หรือ แคทไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน แล้วแคทก็ไม่มีเวลาด้วย ไหนจะทั้งเรียนทั้งถ่ายแบบ”
“โธ่เอ๊ย บุ้ง คนที่เค้ารวยๆเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน เค้าก็เริ่มจากเปิดร้านเล็กๆกันทั้งนั้นแหละ”
“ต้องลงทุนเท่าไหร่ล่ะ”
“สามล้าน”
“สามล้าน! โอ้โฮ ทำไมเยอะจัง แค่ร้านกิ๊ฟชอพนี่นะ”
“โอ๊ย บุ้งนี่ไม่รู้เรื่องเลย ก็เราก็ต้องหาทำเลดีๆบนห้างดังๆซิ ทำเลดีๆคนเดินเยอะๆจะได้ขายดี แล้วมันก็ต้องแพงอยู่แล้ว แล้วยังค่าตกแต่งร้าน ค่าประกัน แล้วยังค่าโฆษณาอะไรอีก สินค้าเราก็จะสั่งจากเมืองนอก ที่ญี่ปุ่น ยุโรปพวกนี้ เราจะเลือกของดีๆหรูๆ น่ารัก แปลกๆ มาไว้ในร้านของเรา ขายในร้านแล้วขายในเน็ทด้วย” แคทพูดด้วยความตื่นเต้น ตาของเธอเป็นประกาย
“แต่มันลงทุนมากเกินไปนะแคท แล้วก็เสี่ยงด้วย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าบุ้ง แคทไม่ได้ขอเงินบุ้งหรอก” แคทเริ่มไม่พอใจ“แค่ขอยืมเท่านั้น พอตั้งตัวได้ก็จะใช้คืน”
“แล้วแคทไม่ลองคิดในทางที่ร้ายที่สุดบ้างหรือ ถ้าเกิด..เอ้อ.. ถ้าเกิดร้านมันเจ๊งล่ะ”
“เอ๊ะ นี่บุ้งไม่เชื่อแคทเหรอ บุ้งแช่งแคทเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แคท แคทอย่าเพิ่งโกรธบุ้งซิ “
“ก็บุ้งแช่งแคทนี่ บุ้งจ๊ะ นี่มันเป็นความฝันของแคทนะ ไหนบุ้งบอกว่าชอบแคทอยากช่วยแคทไง”
ผมถอนหายใจ ฝืนยิ้ม
“ทำไมเราไม่เคยได้ยินแคทบอกว่า แคทอยากจะมีร้านแบบนี้เลย”
“เพราะแคทคิดว่ามันคงเป็นไปได้แค่ความฝันน่ะซิ มันไม่มีทางเป็นจริง แต่ตอนนี้บุ้งช่วยแคทได้แล้วนี่ บุ้งเป็นมหาเศรษฐี มีเงินตั้งเยอะ เงินแค่นี้สำหรับจักรยุทธแล้วไม่มีความหมายอะไรเลย จริงไหมล่ะ”
“ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละแคท มันเป็นของจักรยุทธ ไม่ใช่ของเราจริงๆ ถ้าเป็นของเราจริงๆ เราจะไม่ลังเลเลย”
“แคทถึงบอกขอยืมไง น่า บุ้ง ช่วยแคทหน่อยนะ”
“ขอเราคิดก่อนนะ”

แคทพยักน้าไม่ได้รบเร้าต่อ เรานั่งทานอาหารกันด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด พอเช็คบิลเดินออกมา แคทก็บอกว่าเธอมีธุระขอแยกจากกัน ผมได้แต่ถอนหายใจ ต่อให้ผมโง่กว่านี้ผมก็รู้ว่าแคทโกรธ ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะจบลงแบบนี้

คืนนั้น...ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ผมจะทำไงดี ผมอาจจะเคยใช้เงินของจักรยุทธซื้อของให้แคทแต่มันเป็นเงินเล็กๆน้อยๆ ซึ่งทำให้ผมไม่ต้องคิดมากนัก แต่ที่เธอขอครั้งนี้มันตั้งสามล้าน แม้แคทจะพูดถูกว่าสำหรับจักรยุทธแล้วมันไม่เยอะเลย แต่มันไม่ใช่เงินของผม...มันเป็นเงินของพี่รุ้ง มันไม่สมควรที่ผมจะเอาเงินของเธอไปให้กับผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่หรือ ..แต่แคทก็แค่ขอยืมนี่นา อีกใจหนึ่งผมขัดแย้งขึ้นมา

“บุ้ง ฉันมาแล้ว ลุกขึ้นมาซิ”
“ฟ้า” ผมลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ กอดร่างนุ่มๆของเธอ นางฟ้าดูจะคุ้นเคยกับการแสดงความดีใจแบบนี้ของผมแล้ว จึงไม่ผลักไสผมออก
“เป็นยังไงบ้างบุ้ง คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
ผมเล่าปัญหาให้เธอฟัง
“ผมจะทำยังไงดีฟ้า ผมควรจะให้เงินแคทหรือเปล่า”
“ฉันตัดสินใจแทนเธอไม่ได้ แต่ฉันอยากจะเตือนเธอว่า เธอมาอยู่ในร่างของจักรยุทธด้วยภารกิจเดียว ...นั่นก็คือหาทางจูบแคทเพื่อให้พ้นสภาพเลิฟซี เรื่องอื่นไม่มีความสำคัญ ดังนั้นเธอจะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเธอเอง เข้าใจมั้ย?” นางฟ้าพูด “บุ้ง ฉันมีเวลาไม่มากนักนะ งานของฉันยังไม่เสร็จ ฉันกลับมาหาเธอเพราะเป็นห่วงเธอ แต่เมื่อเห็นเธอกำลังไปได้สวยแบบนี้ก็สบายใจ”
“ไปได้สวยบ้าอะไรเล่าฟ้า ผมจะตายอยู่แล้วนะ”
นางฟ้ายิ้มน้อยๆ ลูบใบหน้าผม
“ฉันต้องไปแล้วนะบุ้ง”
“เดี๋ยวซิฟ้า ฟ้าต้องอยู่กับผมนะ ฟ้าไปไม่ได้ ผมไม่เหลือเวลาแล้ว ผมต้องการฟ้า ผมต้องการพี่เลี้ยง ผมต้องการคำแนะนำ” ผมคร่ำครวญ
นางฟ้าจูบผม
“ฟังนะบุ้ง ฉันกำลังหาทางช่วยเธออยู่อีกทางนึง มันสำคัญมาก ฉันจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด”
“ช่วยผมเหรอ? ช่วยผมยังไง ฟ้าทำอะไรข้างบน”
“ฉันยังบอกเธอไม่ได้ รีบหาทางจูบแคทซะ ฉันไปแล้วนะ”
เธอกอดผม จูบผมอีกครั้ง แล้วก็หายตัวไป

ผมถอนหายใจ แต่ไม่ได้รั้งเธอเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ นางฟ้าเป็นคนน่ารัก แต่บางคราเธอก็กวนโอ๊ย อย่างเช่น ถ้าผมอยากอยู่ตามลำพังเธอก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนผม แต่พอผมต้องการความช่วยเหลือเธอกลับหนีไปซะงั้น...

วันต่อมา..ต่อมา.และต่อมา ผมยังตัดสินใจไม่ถูก ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่มีอะไรคืบหน้า ..สองวัน..สามวันผ่านไป... ผมโทรศัพท์ไปหาแคท เธอก็ไม่ยอมรับสาย... ผมเหลือเวลาไม่ถึงอาทิตย์... ผมต้องตัดสินใจแล้ว

ผมนึกถึงคำแนะนำของนางฟ้า

...เธอมาอยู่ในร่างของจักรยุทธด้วยภารกิจเดียว ...นั่นก็คือจูบแคทเพื่อให้พ้นสภาพเลิฟซี เรื่องอื่นไม่มีความสำคัญ เธอจะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเธอเอง..

....ดีที่สุดสำหรับผมก็คือให้เงินแคทไปซะ ผมจะได้มีโอกาสจูบเธอ นางฟ้าคงอยากจะแนะนำผมแบบนี้แต่เธอเป็นนางฟ้าจึงบอกตรงๆไม่ได้... ผมนี่โง่ชิบเป๋งเลย ผมกำลังคิดมากเกินไปแล้ว แคทยืมเงินแค่สามล้านเอง สำหรับจักรยุทธมันจิ๊บจ๊อย แต่สำหรับผมแล้วมันสำคัญมาก ถ้าแคทปฎิเสธที่จะพบผม ผมก็ไม่มีโอกาสจูบเธอ ผมต้องกลายเป็นผีที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเพราะเงินแค่สามล้านนี่นะ... บ้าจริงๆเลย ผมเหมือนจะมีทางเลือก แต่จริงๆผมไม่มีทางเลือกต่างหาก!

“คนเราต้องเห็นแก่ตัวก่อนโว๊ย”

ผมปลอบใจตัวเอง ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกงเงินพี่รุ้ง แต่มันจำเป็นนี่นา บ้าเอ๊ย! เงินแค่นี้มาคิดมากอยู่ได้ พี่รุ้งเป็นคนดี ถ้าผมบอกความจริงพี่รุ้งต้องให้ผมอยู่แล้วละ เพียงแต่ว่าผมบอกเธอไม่ได้เท่านั้นเอง ดังนั้นผมจึงไม่ควรจะต้องคิดมาก

...เอาละวะ ตูตัดสินใจแล้ว

แต่แล้วผมก็ลังเล คำแนะนะของนางฟ้าถูกต้องจริงหรือ
“...เรื่องอื่นไม่มีความสำคัญ เธอจะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเธอเอง...”
...เพื่อที่จะจูบแคท ผมทำได้ทุกอย่างจริงๆหรือ นางฟ้าแนะนำให้ผมเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า ...แล้วอยู่ๆผมก็เกิดความคิดแปลกๆแทรกขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลย ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่ผมเริ่มฉุกใจคิด เรื่องที่ผมกำลังเผชิญนี้มันสมเหตุผลหรือเปล่า คิดดูแล้วมันไม่สมเหตุผลเท่าไหร่... มันไม่สมเหตุผลเลยต่างหาก ผมเชื่อนางฟ้ามากเกินไปแล้ว... ทำไมผมเชื่อใจเธอมากถึงขนาดนี้?

ถ้านางฟ้าโกหกผมล่ะ ถ้าเรื่องที่เธอบอกไม่มีความจริงอยู่เลยซักนิด... เลิฟซีไม่มีจริง
ยิ่งไปกว่านั้น....
...ถ้านางฟ้าไม่ใช่นางฟ้า!
ผมขนลุกซู่ เย็นวาบไปทั้งสันหลัง

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก”... อีกใจแย้งขึ้น
“เป็นไปได้ซิ ลองคิดดีๆ”
“เป็นไปได้ยังไง”

ความคิดผมเริ่มขัดแย้งและตอบโต้กันเอง ..ด้วยความที่ผมเป็นคนเหงาทำให้เวลาเผชิญปัญหาที่ยุ่งยาก ผมมักจะแบ่งใจเป็นสองฝ่ายแล้วทะเลาะกันเองเพื่อหาผลสรุป

“นางฟ้าดูแปลกๆไหม นางฟ้าเห็นแคทจะถูกข่มขืนก็ไม่ยอมช่วย นางฟ้าใจร้ายแบบนี้มีด้วยเหรอ”
“ก็นางฟ้าบอกว่ามันเป็นชะตากรรม เธอเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนมันจะยุ่งไปหมด”
“ถ้าเธอโกหกล่ะ นางฟ้าต้องมีเมตตาซิ นางฟ้าทนเห็นคนบริสุทธิ์ถูกข่มขืนได้ยังไง นางฟ้านะไม่ใช่แม่มด”
“เธอจะโกหกทำไมวะ”
“นายนี่โง่บรม... ก็เพราะเธออาจจะไม่ใช่นางฟ้าจริงๆน่ะซิวะ”
“ไม่ใช่นางฟ้า แล้วเธอจะเป็นอะไรล่ะ”
“ซาตานไง จริงๆเธออาจจะเป็นซาตาน ซาตานมันชอบเห็นมนุษย์แลดงความชั่วร้ายออกมา คิดดูซิว่าพฤตกรรมของนางฟ้ามีพิรุธมากมาย คิดดีๆ ตั้งแต่คบกับนางฟ้านายทำบาปมากมายรู้ตัวรึเปล่า นายโกหกนับครั้งไม่ถ้วน นายเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน แล้วตอนนี้นายกำลังจะเป็นขโมยอีกด้วย นายกำลังจะขโมยเงินคนอื่น พี่รุ้งดีกับนายอย่างนี้ นายไปขโมยเงินเธอได้ยังไง”

ตอนนี้สถานการณ์เริ่มตึงเครียด เพราะความคิดสองด้านของผมกำลังโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือด และเนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลหักล้างกันไม่ลง ผมจึงปล่อยให้ความคิดทั้งสองตอบโต้กันต่อไป...

“ฉันไม่ได้ขโมยนะโว๊ย ฉันขอยืม”
“ขอยืมบ้าอะไร นายรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่จะได้กลับมาคืนเงินพี่รุ้งหรอก เวลาของนายจะหมดแล้ว”
“บ้าเอ๊ย ฉันไม่เชื่อนายว่ะ นางฟ้าน่ารักแล้วก็ดีกับฉันเหลือเกิน นางฟ้าน่ะเหรอจะหลอกฉัน เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ”
“โธ่เอ๊ย ถ้าเธอไม่น่ารัก ไม่ทำดีแล้วจะหลอกนายได้ไง ซาตานมันรู้อยู่แล้วว่านายโง่ ถึงปลอมตัวมาหลอกนายได้ คอยดูซิ ในที่สุดมันก็จะเผยตัวจริงออกมาแล้วก็ลากคอนายไปลงนรก”
“ฉันไม่เชื่อ อย่ามาว่านางฟ้าของฉันนะอ้ายบ้า”
“นายว่าใครบ้าวะ อ้ายโง่”

“เอาละ เอาละ ไปทั้งสองตัวเลย เวงกำ” ผมขับไล่ไอ้สองตัวที่กำลังทะเลาะกันอยู่ในสมองของผมออกไป เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว มันยังทำให้ผมปวดหัวหนักขึ้นกว่าเดิมอีก


เลิฟซี บทที่ 26 – อย่าหลอกผมนะ

ผมพยายามสงบสติอารมณ์ คิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เอาละ ถ้าผมเชื่อว่านางฟ้าเป็นซาตานล่ะ ผมจะทำยังไง? ก่อนอื่นเลยผมก็ต้องยกเลิกการกระทำที่นางฟ้าบอกทั้งหมด ล้างคำพูดของเธอออกไปจากสมอง... เลิฟซีไม่มีจริง.. อืมม แล้วถ้าครบกำหนดสามเดือนล่ะมันจะเป็นยังไง... มันอาจจะไม่เลวร้ายนัก ผมอาจจะเจอสิ่งดีๆแทนที่จะเป็นผีเร่ร่อนก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครซักคนลงมาบอกกับผมว่า
“เอาละบุ้ง เธอเป็นเด็กดี เธอมีโอกาสที่จะโกงแต่เธอไม่โกง เธอผ่านการทดสอบ เราตัดสินให้เธอขึ้นสวรรค์”
...เหมือนเรื่องเทวดากับคนตัดฟืนไง ผมเป็นคนดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ …แต่มันจะง่ายอย่างนี้เชียวหรือ มันเป็นแค่ความคิดในจินตนาการของผมเท่านั้น ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลใดๆมารองรับ แม้มันอาจจะเรียกว่าลางสังหรณ์ได้ แต่เสี่ยงมากเลยที่จะเดินตามเส้นทางนี้

ในทางกลับกันล่ะ ถ้าสิ่งที่นางฟ้าพูดเป็นความจริงล่ะ ผมปล่อยเวลาให้หมดไปโดยไม่ทำอะไร สุดท้ายผมก็กลายเป็นเลิฟซีไปตลอด ทำให้นางฟ้าต้องติดอยู่บนโลกกับผมด้วย ผมจะกลายเป็นคนทำร้ายตัวเองและนางฟ้าเพราะความงี่เง่าของผมเอง ผมทรยศต่อเธอแล้วผมจะสู้หน้าเธอได้ยังไงถ้าต้องติดอยู่บนโลกใบนี้กับเธอสอง คน ....

“..ฉันเต็มใจที่จะรับประกันชะตากรรมของเธอด้วยชะตากรรมของฉัน
..ถ้าเธอต้องติดอยู่บนโลกที่นี่ ฉันก็จะอยู่กับเธอที่นี่
...เธออยู่..ฉันอยู่..
ไม่มีวันที่ฉันจะผิดสัญญา
แล้วฉันก็ไม่เสียใจซักนิดที่เอาชะตากรรมไปผูกติดกับเธอ”

...ใบหน้าที่งามซึ้งของนางฟ้าก็ปรากฏขึ้นในจินตนาการของผม สีหน้าท่าทาง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำกับผม
...เป็นเรื่องหลอกลวงหรือ? ...ผมร้องไห้ออกมา

...ช่างมันเถอะ ผมยอมให้นางฟ้าทรยศผมดีกว่าที่ผมจะทรยศเธอ ...ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมมีนางฟ้าคนเดียว ถ้าผมเสียเธอผมก็เสียทุกสิ่ง…

นางฟ้า...ผมเดิมพันข้างฟ้าสุดตัวรู้ไหม... ผมเชื่อฟ้าทุกอย่าง... เชื่อโดยไม่มีเหตุผลใดๆมารองรับ... ฟ้าได้ยินไหม... อย่าหลอกลวงผมนะ

ผมตัดความระแวงในตัวนางฟ้าออกไป มันทำให้ผมปรอดโปร่งขึ้น คราวนี้ก็เหลือแต่ด่านสุดท้ายที่ผมจะต้องฝ่าออกไป เป็นไปได้ไหมว่านางฟ้าเองก็ไม่ได้รอบรู้ไปทุกอย่าง...บางอย่างคนข้างบนก็ไม่ ได้บอกให้เธอรู้!
มันกลับมาที่คำถามเดิม ผมควรจะเอาเงินของพี่รุ้งไปให้แคทหรือไม่
...ผมจะทำเพื่อตัวผมเอง..
...หรือรักษาความดีไว้เหมือนคนตัดฟืนผู้ซื่อสัตย์

โอ.... ผมควรจะปล่อยให้ลางสังหรณ์นำทาง หรือให้หัวใจนำทาง...

เอาละ....เรื่องนี้มันอยู่เหนือความรู้ของผม มันลึกลับซับซ้อนเกินไป ไม่มีทางที่ผมจะใช้เหตุผลใดๆมาตัดสินปัญหาที่ยุ่งยากนี้ได้ ดังนั้นมันก็เหมือนกับการเดิมพันโดยการโยนหัวก้อยนั่นแหละ แต่ที่แย่ก็คือ ผมอาจถูกโกง ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย เจ้ามือกินเรียบหมด ...แต่ผมก็หลีกเลี่ยงการโยนไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นมันควรจะโยนแบบมีหลักวิชาหน่อย แทนที่ผมจะโยนเอง ผมควรหาคนที่เหมาะสมมาโยนเหรียญให้

ผมตัดสินใจกดอินเตอร์คอมเรียกพี่บี เลขาคนสวยของผมเข้ามา...


เลิฟซี บทที่ 27 – ขอหนึ่งวินาทีของรักแท้

ผมมองใบหน้าสวยน่ารักของพี่บี แล้วอมยิ้มคิดถึงวันที่ผมทำเปิ่นเด๋อด๋าในครั้งแรกที่เราพบกัน พี่บีเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมคุยด้วยเมื่อมาอยู่ในร่างของจักรยุทธ พอคิดถึงว่าอีกไม่กี่วันผมจะต้องจากเธอไปแล้วก็อดใจหายไม่ได้
“คุณจักร”
ผมสะดุ้ง
“แหม คิดถึงคุณรุ้งอยู่หรือคะ บีเรียกตั้งหลายครั้งแน่ะ” พี่เลขาคนสวยแซวยิ้มๆ ตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงหน้าผม
“ใครบอกล่ะ บีสวยจนผมตกตะลึงน่ะ”
พี่บีหัวเราะคิก
“จีบบีหรือคะคุณจักร ไม่กลัวบีไปฟ้องคุณรุ้งเหรอ”
“จีบที่ไหนเล่า ผมชมต่างหากล่ะ” ผมรีบแก้ตัว “อย่าพูดเล่นซิ บี ผมมีอะไรจะถามหน่อย ชวนพูดเล่นอย่างนี้ลืมกันพอดี”
“อ้าว มาโทษบีอีก คุณจักรเป็นคนเริ่มต้นแท้ๆ มีอะไรจะถามบีหรือคะ”
“เออ อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย บีคงไม่ว่าอะไรนะ”
“เรื่องอะไรคะ คงไม่ใช่ปัญหาหัวใจหรอกนะ ถ้าเป็นปัญหาหัวใจบีต้องถามคุณจักรมากกว่า”
“ไม่หรอก ฮะ ฮะ” ผมหัวเราะแก้เก้อ “ผมแค่อยากรู้เรื่องเงินกับความรักน่ะ ผมอยากรู้ว่าผู้หญิงจะคิดยังไง สมมุติว่า ถ้าบีต้องการใช้เงิน แล้วไปขอยืมเงินแฟน แต่เค้าไม่ให้ บีจะรู้สึกยังไง โกรธแค่ไหน จะถึงกับเลิกคบกันเลยหรือเปล่า”
“แล้วบีจะยืมไปทำอะไรล่ะคะ เงินบีก็มี” เลขาว่า
“ก็ถ้าเกิดบีมีไม่พอไง อย่างเช่น บีอยากทำธุรกิจส่วนตัวอะไรซักอย่าง ต้องใช้หลายล้าน บีไปยืมแฟนแล้วแฟนไม่ให้ บีจะโกรธมากไม๊”
“ไม่โกรธค่ะ” เธอตอบทันที
“ไม่โกรธเลยเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ค่ะ ขืนให้เงินบีไปทำธุรกิจ บีต้องเจ๊งอยู่แล้ว” พี่บีพูดแล้วหัวเราะ “บีรู้ความสามารถตัวเองดีค่ะ ดังนั้นที่แฟนไม่ให้ก็ถือว่าเค้ามีเหตุผล ไม่ตามใจแฟนเกินเหตุสมควรได้รับคำชม”
“ว๊า ตอบอย่างนี้ก็ไม่ได้เรื่องซิ” ผมร้อง
“อ้าว แล้วต้องตอบยังไงคะถึงจะได้เรื่อง ก็บีคิดอย่างนี้” เธองง
“งั้นเอาใหม่ ไม่ต้องไปทำธุรกิจ ไปทำอย่างอื่น”
“ทำอะไรคะ”
“ทำอะไรก็ได้ ทำอะไรซักอย่างที่จำเป็น ถ้าบีจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้มากๆล่ะ จำเป็นมากๆเลย ไปขอยืมแฟน แล้วแฟนไม่ให้”
“ถ้างั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเค้าแล้วละ ว่ามีให้ยืมไม๊”
“มีมากมายเกินพอเลยล่ะ”
“ถ้างั้นเค้าต้องให้บีอยู่แล้ว”
“แล้วถ้าเค้าไม่ให้ล่ะ ถ้าเค้ามีเหตุผลที่จะไม่ให้”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ถ้าเราจำเป็นต้องใช้ เค้าต้องให้ซิ เค้าทนเห็นเราเดือดร้อนได้ยังไง ถ้าไม่ให้ก็แย่มาก เห็นเงินสำคัญกว่าคนรัก คนเห็นแก่ตัวแบบนั้น เลิกคบกันดีกว่า”
เธอตอบตรงๆ มองผมอย่างแปลกใจ
“คุณจักรถามทำไมคะ คงไม่ได้มีปัญหากับคุณรุ้งนะคะ แต่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะคุณจักรมีเงินมากมาย”
“ไม่หรอก ไม่เกี่ยวกับรุ้ง ขอบใจนะบี ผมได้คำตอบแล้ว”
“งั้นบีกลับไปทำงานนะ”
ผมพยักหน้า มองดูเธอเดินออกไปจากห้อง

หัวใจของผมวาบหวิว ผมเคยลองสมมุติตัวเองเป็นแคท ผมคงไม่กล้าเอ่ยปากขอยืมเงินกับใครตั้งสามล้านหรอก แต่นั่นแหละ ผมเอาตัวเองเป็นมาตรฐานไม่ได้ ร้านนั้นเป็นความใฝ่ฝันของแคท เมื่อมีโอกาสที่ความฝันของเธอจะเป็นจริงเธอก็ไม่รั้งรอที่จะเอ่ยปากกับผม ...เธอกล้าขอเพราะเธอเห็นผมเป็นคนรัก ...เพียงครั้งแรกที่เธอขอผมก็ทำให้เธอผิดหวังแล้ว ผมทำลายความฝันของเธอ แล้วเธอก็อาจจะรู้สึกเสียหน้าด้วย แคทอาจจะลำบากใจอยู่แล้วที่เอ่ยปาก แต่ผมทำให้เธอผิดหวังและเสียใจ
....เห็นเงินสำคัญกว่าคนรัก ... คำพูดของพี่บีตอกย้ำความโง่ของผม ...ผมโง่อย่างนี้ถึงต้องเป็นเลิฟซีไง ตอนนี้เรื่องมันยิ่งยุ่งยากไปกว่าเดิมแล้ว

“ลืมเรื่องที่จะทำให้รู้สึกผิดออกไปให้หมด นายเหลือโอกาสสุดท้ายที่ไม่อาจผิดพลาดได้อีก”

ผมบอกตัวเอง พรุ่งนี้ผมจะโทรศัพท์ไปนัดแคทออกมา ถ้าเธอไม่ยอมรับสาย ผมจะไปหาเธอที่บ้าน ผมจะทำให้ฝันของแคทเป็นความจริง เราจะอยู่ด้วยกันเป็นวันสุดท้าย แล้วก่อนจากกันผมจะจูบเธอ ผมต้องการจูบสุดท้ายจากเธอ...
จุมพิตจากรักแท้... ขอแค่สิบวินาที ห้าวินาที หรือหนึ่งวินาทีก็พอ
หลังจากนั้นผมจะหลุดจากคำสาป ผมจะได้ไปเกิดใหม่ ผมจะลืมแคท ลืมพี่รุ้ง ลืมนางฟ้า... ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วผมจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

วันต่อมาขณะที่ผมกำลังเตรียมจะโทรศัพท์ไปหาแคท เธอกลับเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเอง
“แคท ผมกำลังจะโทรไปหาพอดี”
“วันนี้ว่างมั๊ยบุ้ง”
“ว่าง.. ว่างซิ... เราคิดถึงแคทมาก คิดถึงทุกคืน เราคิดว่าแคทจะไม่ยอมเจอเราอีกแล้ว”
เธอเงียบไปชั่วครู่
“แคท” ผมเรียกซ้ำ
“แคทอยากเจอบุ้ง”
“งี้นผมรีบไปหานะ เจอกันที่เดิม”

หัวใจผมพองโต เธอเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเอง นี่แสดงว่าเธอเข้าใจผมแล้ว แคทเป็นคนดี....ในที่สุดเธอก็เข้าใจผม ความกังวล ความมองหม่นหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว แต่ไม่ลืมเอาสมุดเช็คไปด้วย ผมอาจต้องใช้มัน แต่จะใช้เมื่อไม่มีทางหลีกเลี่ยงเท่านั้น ผมไม่อยากแตะต้องเงินของพี่รุ้ง ...

ผมไปเจอแคท เธอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินทั้งนั้น
อา...วันสุดท้ายของผมช่างสดใสเกินคาด...

ผมชวนแคทไปดูหนังโรแมนติค ผมอยากให้บรรยากาศตอนจูบลาของเราซาบซึ้งกินใจ แต่แคทไม่ยอมดู กลับพาผมไปดูเรื่อง ปุ๊กกี้ ผีเร่ร่อน ซึ่งเป็นหนังตลกเกี่ยวกับผีจอมเฟอะฟะ
เฮ้อ มีแฟนเป็นผีแล้วยังชวนดูหนังผีอีก แคทหัวเราะร่วนตลอดเรื่อง แต่ผมหัวเราะฝืดๆ อยากจะเปลี่ยนชื่อหนังเป็น เจ้าปุ๊กกี้ผีงี่เง่า แต่ดูไปดูมามันก็คล้ายๆผมยังไงไม่รู้

พอออกจากโรงหนัง แคทก็ไปเข้าห้องน้ำ ผมนั่งรออยู่ที่ม้านั่งด้านนอก

“เลิฟซี! เลิฟซีนี่” เสียงผู้ชายดังขึ้น
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา เหลียวซ้ายแลขวาเพราะไม่แน่ใจว่าหูแว่วหรือเปล่า แต่ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ผม เดินตรงเข้ามาหาผม แสดงว่าเขาทักผมจริงๆ
“คุณเรียกผมเหรอ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ
“ใช่สิ เลิฟซี” เขาพยักหน้า
“เลิฟซี!” ผมทวนคำ “คุณรู้ว่าผมคือเลิฟซี คุณรู้จักเลิฟซีด้วยเหรอ”
“รู้จักดีเลยล่ะ” เขาตอบยิ้มๆ
“เทพ” เสียงหวานใสของผู้หญิงดังขึ้น

ผมหันไปทางเจ้าของเสียงซึ่งเดินตรงเข้ามาหาผู้ชายที่คุยกับผมอยู่ พอเห็นหน้าเธอผมก็ตกตะลึง... โอ้โฮ... ไม่ตะลึงได้ไง... หากบอกว่านางฟ้าคือผู้หญิงที่สวยที่สุดที่ผมเคยเจอ ผู้หญิงคนนี้มีความสวยที่ทัดเทียมเธออย่างแท้จริง เป็นความงามสุดฟ้าสุดดินทั้งคู่ แต่ผู้หญิงคนนี้ดูมีอายุมากกว่านางฟ้า เป็นสาวเต็มตัวมากกว่า

“เราไม่ได้รับอนุญาตให้คุยกับเลิฟซีนะเทพ” พี่สาวคนสวยพูด
“รู้น่ะ ผมแค่ทักทายเท่านั้น” ชายคนนั้นตอบ แล้วหันมายิ้มให้ผม “สู้เต็มที่เลยนะน้องสาว พวกเราอยู่ข้างเธอ” ผู้ชายคนนั้นบอก
ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มให้ผม แล้วชวนผู้ชายเดินจากไป
แต่ผมยังตกตะลึง
น้องสาว... ผู้ชายคนนั้นเรียกผมว่าน้องสาว ผู้หญิงคนนั้นก็เรียกผมว่าเลิฟซีด้วย ไม่เพียงแต่พวกเค้าจะรู้ว่าผมคือเลิฟซี แต่ยังมองทะลุร่างกายของจักรยุทธเห็นร่างผู้หญิงของผม... พวกเขาเป็นใคร? น่าเสียดายที่นางฟ้าไม่ได้อยู่ด้วย ถ้านางฟ้าอยู่นางฟ้าต้องรู้แน่ๆว่าพวกเขาคือใคร

“บุ้ง” เสียงแคทดังขึ้น ดึงผมกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ” แคทชวน
ผมเลิกคิดถึงชายหญิงคู่นั้น แล้วกลับมาดื่มด่ำกับความสุขที่ได้อยู่กับแคทอีกครั้ง เราอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงยามค่ำคืน...

แล้วเวลาแห่งการจากลาก็มาถึง...
ผมจอดรถ ดับเครื่อง เตรียมมอบจุมพิตอำลาที่แสนหวานให้เธอ
“เข้าไปในบ้านแคทก่อนดีมั๊ย”
ผมชะงัก
“คืนนี้แคทอยู่คนเดียว” แคทชวนหน้าแดงซ่าน “ไปนั่งเล่นกันนะบุ้ง”

ตั้งแต่ผมเป็นจักรยุทธแคทไม่เคยชวนผมเข้าไปในบ้านของเธอเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอชวน
อืมม วันนี้อะไรๆก็ดูดีไปหมด ผมกำลังเป็นผีที่มีความสุขที่สุดในโลก
“ดีซิ” ผมตอบโดยไม่ลังเล
แคทพาผมเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“นั่งก่อนสิ ตามสบายนะ”
เธอเปิดทีวีให้ผมดู เดินหายไปชั่วครู่ ก็กลับมาพร้อมกับแก้วโค้ก
“ดื่มโค้กก่อนนะบุ้ง เดี๋ยวแคทขอไปอาบน้ำก่อน”
“ตามสบายเลยแคท” ผมบอก

อา..อยู่ตามลำพังกับแคทเบบนี้ทำให้จินตนการของผมฟุ้งซ่าน
ผมยกแก้วโค้กขึ้นมาจิบ สองสามอึก
..ชื่นใจจัง
...แล้วผมก็คิด
จินตนาการด้วยความวาบหวาม

ทำไมอยู่ๆแคทถึงชวนผมมาในบ้าน
น่าแปลกใจมั๊ยล่ะ
…ผมจิบโค้ก
เราอยู่กันตามลำพังสองคน..
...ผมจิบโค้ก
…คิดต่อไป..
ทอมกับผู้หญิงอยู่กันสองคน.....ไม่ใช่สิ...ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันตามลำพังสองคน...
...ผมจิบโค้ก
หน้าแดง
คิดต่อ…
...ผู้หญิงชวนผู้ชายมาอยู่กันตามลำพัง
อะไรจะเกิดขึ้น...

อะไรจะเกิดขึ้น?

เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก ผมหัวเราะเสียงหื่นเหมือนตัวบ้ากามในหนัง

“คิดไม่ดีอีกแล้วนะ!!!!!!”
“แว๊กกกกกกกกกก” เสียงนางฟ้านี่
ผมเหลียวซ้ายแลขวา
หูแว่วอีกแล้ว... เสียววาบเลยตู
เมื่อกี้คิดถึงไหนแล้วฟะ
อ้อ..ถึงตอน.. ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันสองคน

อะไรจะเกิดขึ้น?
อา...อะไรจะเกิดขึ้น?

...ผมจิบโค๊ก
...คิดต่อ แต่เอ๊ะ ทำไมตูรู้สึกง่วงๆ
ตาผมเริ่มปรือลง
รู้สึกมึนๆ
เปลือกตาหนักขึ้นทุกที
แต่จินตนาการหื่นยังบรรเจิดไม่หยุดยั้ง!
...ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ตามลำพัง
...มันคงจะไม่ได้จบแค่จูบแล้วละ

อืม...ใช่ ผมยังไม่ควรจูบปากแคท ถ้าจูบปากแคทผมต้องพ้นสภาพเลิฟซีทันที ซึ่งเป็นการเสียหายร้ายแรงมาก โลกจะประณามว่าผมโง่บรม

ดังนั้นผมควรจะจูบแก้มเธอก่อน
แล้วค่อยๆปลด..
ปลดทีละชิ้น
เอื๊อก..
...ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ตามลำพัง
....มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
นอกจาก...
อึ๋ยยยยย...
นอกจาก...

...เปลือกตาผมร่วงลงมาปิดสนิท
ทุกอย่างดับวูบลง
แล้วผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีก…


เลิฟซี บทที่ 28 – ความหวังดับสิ้น?

ผมลืมตาขึ้นมา เห็นแคทกำลังหวีผมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เรายังอยู่กันตามลำพังสองคนในห้องนอน
“แคท... เฮ้ย!!”
ผมร้องตะโกนออกมาเมื่อพบว่าขยับตัวไม่ได้... ผมถูกมัดมือมัดเท้าติดอยู่กับเก้าอี้
“ตื่นแล้วหรือบุ้ง” แคทพูดเสียงนุ่มนวล หยุดหวีผม แล้วหมุนเก้าอี้มา
“อะไรกันแคท มัดเราทำไม ปล่อยเรานะ” ผมร้อง
แคทยิ้มหวาน
“ปล่อยไม่ได้.. บุ้งไม่ใช่ผู้หญิงแล้วนะจ๊ะ ผู้ชายกับผู้หญิง อยู่กันตามลำพังในห้องนอนมันอันตราย แคทต้องป้องกันตัวไว้ก่อน” แคทพูด
ผมยิ้ม ฝืดๆ
“นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมแคท ขำดีเนาะ แต่ไม่อยากเล่นแล้วหละ แก้มัดได้แล้ว”
“บอกแล้วไงว่าแก้มัดไม่ได้” เธอดุ แล้วยิ้มน้อยๆ “เกิดบุ้งหน้ามืดขึ้นมาล่ะ”
“โธ่แคท เราไม่ทำอะไรแคทหรอก คือว่าแค่คิดเฉยๆไม่ทำจริงหรอก แคทไว้ใจเราได้”
แคททำหน้าพิกล แต่ก็พูดต่อ
“อยู่อย่างนี้ไปก่อนเถอะ แคทมีเรื่องอยากจะคุยกับบุ้ง”
“เรื่องอะไร” ผมถาม
“เรื่องที่แคทคุยกับบุ้งครั้งที่แล้วไง”
“เรื่องเงินน่ะเหรอ” ผมเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกไม่ดีอย่างมาก
“บุ้งจ๊ะ เงินนั่นสำคัญกับแคทมากเลยนะ”
“แก้มัดก่อนซิ เราคุยกันดีๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมัดเราไว้หรอก”
“แคทก็เคยคุยกับบุ้งดีๆแล้วไง แต่บุ้งไม่ฟังแคทเลย...ไม่ช่วยแคทเลย ไหนบุ้งบอกว่ารักแคทไง”
“เราก็คุยดีทุกครั้งนี่ แต่แคทจับเราทำไม? นี่หมายความว่าไง แคทจะทำอะไร”
แคทถอนหายใจ
“แคทไม่ได้มัดบุ้ง”
“แล้วใครมัด”

“เราเอง”

เสียงของผู้หญิงอีกคนดังขึ้น
“กิ๊ฟ” ผมร้องออกมาดังๆ


Offline เรื่องเสียว

  • เจ้าพ่อเรื่องเสียว
  • แฟนพันธ์แท้
  • *******
    • Posts: 8553
    • เสียว: 361
  • เรื่องเสียวอัพเดจทุกวัน
    • View Profile
    • เล่าเรื่องเสียว
Reply #8 on: January 26, 2010, 11:31:56 am
กิ๊ฟเดินออก มาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันตัวไว้เพียงผืนเดียว ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาของเธอแดงซ่านเพราะเพิ่งอาบน้ำอุ่นมาหมาดๆ หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ตามช่วงไหล่นวลเนียนของเธอ ผ้าเช็ดตัวผืนน้อยเพียงปกปิดร่างกายของเธอไว้อย่างหมิ่นเหม่ ความสั้นของมันไม่สามารถปกปิดขาเพรียวยาวขาวสวยของกิ๊ฟไว้ได้ ยิ่งยามก้าวเดิน ผ้าเช็ดตัวก็แยกออกเปิดโชว์ไปถึงต้นขาด้านใน
“มองอะไรน่ะบุ้ง” กิ๊ฟพูดยิ้มๆ
ผมใจหายวาบ
“กิ๊ฟรู้เรื่องหมดแล้วหรือนี่” ผมหันไปทางแคท “แคทบอกหมดเลยเหรอ”
แคทยักไหล่
“ก็บุ้งไม่ได้ห้ามแคทให้บอกใครนี่”
“ไม่เห็นจะต้องแปลกใจเลย แคทรู้กิ๊ฟก็ต้องรู้” กิ๊ฟเดินมาหาผม “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง“
“ตอนแรกกิ๊ฟบอกว่าแคทบ้าไง” แคทพูดยิ้มๆ
“ก็มันน่าเชื่อไม๊ล่ะ มหัศจรรย์แท้ๆ ผีสิงร่างคนได้จริงๆหรือนี่... นี่คือบุ้งขี้อายของพวกเราจริงๆหรือ” กิ๊ฟก้มลงมาหาผม กลิ่นกายสาวผสมกลิ่นสบู่ที่อาบน้ำใหม่ๆ หอมกรุ่นแตะจมูกของผม ทำให้ผมอดวาบหวามใจไม่ได้
“เธอหล่อมากเลยนะบุ้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะหล่อขนาดนี้ เข้าใจหาร่างอยู่จริงๆ” กิ๊ฟไล้นิ้วเรียวงามมาบนผิวหน้าของผม ก่อนจะใช้สองมือแตะแก้มของผมไว้
“แก้มัดเราก่อนซิ” ผมขยับตัวอย่างอึดอัด
กิ๊ฟหัวเราะเสียงใส ถอยไปนั่งบนเตียง ชายผ้าเช็ดตัวของเธอแยกออกเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ที่สายตาซุกซนของผมจะกวาดเข้าไปตรงนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
“ถ้าตกลงกันได้ก็จะแก้มัดให้ เอ๊ะ นี่เธอแอบดูอะไรเนี่ย” กิ๊ฟพูดยิ้มๆ พร้อมกับจับผ้าขนหนูที่แยกออกปิดเอาไว้ ท่าทางปิดๆเปิดๆของเธอยั่วอารมณ์ชะมัด แต่ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
แคทหัวเราะออกมา
“กิ๊ฟไปยั่วบุ้งเองนี่นา จะโทษบุ้งได้ยังไง แล้วขาตัวเองก็ออกขาว ขนาดแคทยังอยากดู”
“เอ๊ะ นี่แคทอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”
“อยู่ฝ่ายบุ้งน่ะซิ เรื่องอะไรจะอยู่ฝ่ายกิ๊ฟ”
แคทพูดแล้วหัวเราะออกมา แต่ผมไม่รู้สึกขำกับมุกตลกของพวกเธอ

“ต้องการอะไรกิ๊ฟ มัดเราทำไม”
“เธอก็น่าจะรู้นี่บุ้ง”
“เงินใช่ไม๊... เรานี่โง่จริงๆ น่าจะคิดออกตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่แคทหรอกที่ต้องการเงิน กิ๊ฟต่างหากที่ต้องการ”
“โธ่เอ๊ย บุ้ง จะแคทต้องการหรือกิ๊ฟต้องการมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“ไม่เหมือนกัน” ผมร้องด้วยความโกรธ “แคท! เรื่องร้านในฝันของแคทเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดใช่ไม๊”

แคทไม่ตอบ แต่หันหลังกลับ
“หลอกเราทำไม แคท หลอกเราทำไม”
“โธ่เอ๊ยบุ้ง อย่าไปคาดคั้นแคทอย่างนี้สิ สุภาพบุรุษเค้าไม่ทำอย่างนี้กับสุภาพสตรีหรอก มาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า”
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”
“ตลกน่ะ เสียเวลา มอมเธอเพื่อจะปล่อยเธอนี่นะ”
“มอมเราเหรอ เพื่ออะไร จะจับเราเรียกค่าไถ่เหรอ”
กิ๊ฟหัวเราะคิก
“โอ้โฮ ใครจะกล้า นั่นมันอาชญากรรมนะ ผู้หญิงอย่างกิ๊ฟจะกล้าทำอย่างนั้นได้ไง”
“แล้วกิ๊ฟจะเอายังไง”
“ก็ตกลงเงื่อนไขกันสิ แลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม”
“เงื่อนไขอะไร แลกเปลี่ยนอะไร”
“ตอนนี้เธอก็รวยแล้ว มีเงินมากมายจนใช้ไม่หมด ใจคอจะไม่แบ่งเพื่อนเก่าใช้กันบ้างหรือ”
“ทำไมเราต้องแบ่งให้เธอ”
“เพราะเรารู้ความลับของเธอน่ะซิ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เธอจะอดหมดทุกอย่าง แถมมีสิทธิจะต้องติดคุกฐานฉ้อโกงอีกด้วย แล้วเธอยังเป็นชู้กับเมียของจักรยุทธอีกใช่ไหม อย่าบอกนะว่าไม่มีอะไรกัน”
ผมหน้าร้อนวูบ
“นี่กิ๊ฟคิดว่าเรามาอยู่ร่างจักรยุทธเพราะอยากได้เงินของเขางั้นรึ”
“แล้วไม่ใช่รึไง”
“เราคิดไม่ถึงเลยว่ากิ๊ฟจะเป็นคนแบบนี้ คิดจะแบล็คเมล์เรารึไง ตลกสิ้นดี เธอคิดว่าจะมีใครเชื่อเธอเหรอ” ผมหัวเราะเยาะ “นี่หรือข้อแลกเปลี่ยนของเธอ เค้าจะหาว่าเธอบ้าเอาด้วยซ้ำ”
“ฉันมีวิธีพิสูจน์ มันไม่ยากหรอก แต่เธออยากจะลองงั้นเหรอ มันจะคุ้มหรือ เธอยอมแบ่งเงินให้เราแค่นิดหน่อย เธอไม่กระทบกระเทือนอะไรด้วยซ้ำ แล้วเราจะไม่ยุ่งอะไรกับเธออีก หลังจากเราได้เงินแล้วก็ทางใครทางมัน เธอจะมีความสุขกับเงินของจักรยุทธและเมียของเขาต่อไป”
“แคท” ผมหันไปทางเธอ แคทยังคงหันหลังให้ผม “พูดอะไรบ้างซิ เธอวางแผนร่วมกับกิ๊ฟงั้นรึ”

แคทยังคงนิ่งเงียบ

“นี่เป็นคำตอบของเธอใช่ไหม”
ผมพูดด้วยความขมขื่น ทั้งคับแค้นทั้งเศร้าใจ สองคนนี้คิดว่าผมหวงเงินไว้ใช้คนเดียว น่าขำสิ้นดี ผมกำลังจะต้องไปจากร่างนี่แล้ว เงินไม่มีความหมายอะไรกับผม อันที่จริงผมก็เตรียมจะเซ็นเช็คให้แคทอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ก่อน... ชีวิตผมยังมอบให้เธอได้นับประสาอะไรกับเงิน แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้น ไม่เหลือความหวังอะไรแล้ว ต่อให้ผมได้จูบแคทจริงๆก็ไม่มีทางที่ผมจะพ้นสภาพเลิฟซี เพราะแคทไม่ได้รักผม ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือเธอหลอกลวงผม ผมรับไม่ได้เลย

....ไม่มีจูบจากรักแท้อีกต่อไป ความหวังของผมดับวูบลงแล้ว

“บุ้ง เธอไม่มีทางเลือกหรอก ยอมรับความจริงเถอะ เพื่อความสุขของเราทุกคน” กิ๊ฟพูด
“จะให้เราทำไง เธอไว้ใจให้เราไปถอนเงินมาเหรอ”
“ไม่จำเป็น” กิ๊ฟเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ เปิดลิ้นชัก หยิบสมุดเช็คของผมออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอค้นรถผม “เธอเตรียมเช็คมาแล้วนี่ เธอตั้งใจจะให้แคทอยู่แล้วใช่ไม๊ น่าเสียดายนะ ถ้าฉันรู้ก่อนว่าเธอตั้งใจจะให้เงินแคท ฉันคงไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างนี้หรอก แต่มันก็ทำไปแล้วนี่นะ เสียใจด้วยจริงๆ เซ็นเช็คให้ฉันเถอะ ฉันต้องการเงินห้าล้าน”
“แคท” ผมหันไปหาแคทอีกครั้ง แต่กิ๊ฟจับผมหันกลับมา
“เลิกยุ่งกับแคทซักที เรากำลังตกลงเงื่อนไขกันอยู่ ฟังให้ดี ฉันไม่เอาเปรียบเธอมากเกินหรอก ฉันมีสิ่งชดเชยให้เธอ”

กิ๊ฟลุกขึ้น เดินมาหาผม ฉับพลันนั้นเธอก็ทำสิ่งที่ผมคิดไม่ถึง ...
กิ๊ฟแยกขาทรุดตัวนั่งคล่อมร่างผมไว้ โอบแขนลงรอบคอผม
“ถ้าเธอตกลง..ยอมเซ็นเช็ค ฉันจะยอมให้เธอมีอะไรกับฉัน... กับแคทด้วย” เธอยิ้มอย่างยวนยั่ว ขยับก้นบนตักผม ดวงตาของเธอหยาดเยิ้ม “ฉันยังบริสุทธิ์อยู่นะบุ้ง” กิ๊ฟกระซิบที่ข้างหูผม วางมือลงบนอกของผม “เราไม่เคยแตะต้องผู้ชาย แคทก็เหมือนกัน ถ้าเธอตกลงเราจะมอบความบริสุทธิ์ให้เธอ ...ยุติธรรมไหมล่ะ”
“อะไรนะ” ผมร้องอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เธอพูดอะไรออกมากิ๊ฟ”
“อย่าทำเป็นตื่นเต้นไปหน่อยเลยน่า บุ้ง เธอรักแคทไม่ใช่หรือ เธออยากได้แคทไม่ใช่หรือ ตอนนี้ฉันเสนอให้แล้วไง แถมตัวฉันให้ด้วย”
“บ้าแล้ว เธอต้องบ้าไปแล้วกิ๊ฟ” ผมหันไปมองเคท “แคท เธอจะทำอย่างนี้จริงๆหรือ”

ไหล่ของแคทสั่นสะท้าน เธอไม่ยอมตอบ ตลอดเวลาเธอไม่เคยหันมามองหน้าผมเลย บางทีแคทอาจจะไม่เห็นด้วยกับกิ๊ฟก็ได้ ท่าทีของแคทสร้างความหวังลมๆแล้งๆให้ผมอีกครั้ง แต่ลึกๆแล้วผมรู้ว่ากำลังหลอกตัวเอง

“แคท! เราไม่ได้ต้องการอย่างนี้ เราไม่ได้ต้องการร่างกายเธอ เรารักเธอ เรายอมตายเพื่อเธอ เรารักเธอดัวยหัวใจ เธอก็รู้อยู่เต็มอกใช่ไหมล่ะ”
“โอ๊ย มันช่างโรแมนติคจริงๆ ฟังแล้วคลื่นไส้อยากจะอ้วกว่ะบุ้ง” กิ๊ฟร้อง เอาสองมือจับแก้มผมไว้ให้มองเธอ “หยุดคร่ำครวญเสียที เธอชอบให้ฉันทำอย่างนี้มากกว่ามั๊ง”
กิ๊ฟกระซิบ แล้วประกบปากจูบผม ทรวงอกเต่งตึงของเธอเบียดแนบอยู่กับอกของผมจนรู้สึกได้ถึงความอวบหยุ่นของ ก้อนเนื้อทั้งสองข้าง มือข้างซ้ายของเธอยังโอบรอบคอผม แต่มือข้างขวา ขยับเลื่อนต่ำลงไป แล้วล้วงเข้าไปในกางเกง
“บุ้ง เธอกำลังมีอารมณ์นี่ โอ้โฮเต็มมือเลย” กิ๊ฟทำเสียงกระเส่า ใช้ปลายลิ้นเลียที่ช่องหูผมเหมือนจะเร้าอารมณ์ผมให้ตื่นตัวยิ่งขึ้น “เธอเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว หนูน้อย”

ผมหน้าชาด้วยความอับอาย แม้จะอยู่ในความสับสน แต่ร่างกายของผมก็ตอบสนองต่อการปลุกเร้าของเธอ ผมรู้สึกเจ็บใจที่มาสิงอยู่ในร่างของผู้ชาย ผมเกลียดร่างของผู้ชายตรงนี้...ร่างกายที่ไม่สามารถปกปิดอารมณ์ใคร่ของตัว เองไว้ได้

“แย่หน่อยนะบุ้งที่ตอนนี้เธอหลอกฉันไม่ได้ เธอนี่มหัศจรรย์จริงๆ เสี้ยนออกอย่างนี้ยังอยากจะทำเป็นคนดี” กิ๊ฟขยับมือไปมา “เหอะน่า....เซ็นเช็คให้ฉันห้าล้าน แล้วมาสนุกกัน”
ผมพยายามระงับความพลุ่งพล่านเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
“เธอไม่โก่งค่าตัวไปหน่อยหรือกิ๊ฟ พรหมจรรย์ของเธอสองคนมีราคาตั้งห้าล้านเชียวรึ”
กิ๊ฟหัวเราะคิก
“โอ้โฮ ปากของเธอช่างเชือดเฉือนดีจังบุ้ง แต่เธอกล้าดูถูกคนรักของเธออย่างนี้เชียวหรือ ฉันชักสงสัยแล้วว่านี่ใช่บุ้งของพวกเราจริงๆหรือเปล่า”

“แคท” ผมร้องออกมา ขณะที่กิ๊ฟยังคงสนุกกับการหยอกล้อผม “แคท! หันมานี่ หันมาพูดกับเรา... เราอยากได้ยินจากปากเธอ.... ถ้าจะตกลงกัน แคทต้องพูดด้วยตัวเอง บอกเราซิว่าเธอยอมมอบความบริสุทธิ์ของเธอเพื่อแลกกับเงิน! พูดมาเลย” ผมร้องออกมาด้วยความโกรธ เจ็บใจ และผิดหวัง


เลิฟซี บทที่ 29 – เดิมพันหัวใจ

แคทหันหน้ากลับมา ดวงตาของเธอมีรอยรื้นของน้ำตา ผมใจหายวูบ แคทร้องไห้หรือนี่

“กิ๊ฟ ขอแคทคุยกับบุ้งตามลำพังเถอะ”
“หือ?”
“แคทอยากคุยกับบุ้งสองคน” เธอย้ำ
“ก็ได้” กิ๊ฟพูดแล้วลุกขึ้นยืน มองแคทแล้วหันมามองผม “บุ้ง ฉันขอเตือนก่อนนะ อย่าคิดหนี เพราะเธอไม่มีทางหนีได้ ฉันให้ผู้ชายสามคนเฝ้าอยู่ข้างนอก ตัวโตอย่างกับยักษ์แถมเป็นพวกโฮโมด้วย ถ้าพวกมันเห็นหน้าขาวๆสวยๆของเธอจะเป็นยังไงคงคิดได้นะ”
“ถูกมัดเป็นปลาทูอย่างนี้ จะหนีได้ไง” ผมพูดด้วยความโกรธ
กิ๊ฟหัวเราะคิก
“มีด้วยเหรอถูกมัดเป็นปลาทู ถึงไงฉันก็ต้องเตือนไว้ก่อนเพราะเธอไม่ค่อยเหมือนคนอื่น แล้วห้ามเหน็บแนมแคทด้วย ถ้าเธอทำให้แคทเสียใจฉันจะทำให้เธอเสียใจมากกว่าหลายเท่า” กิ๊ฟหันไปหาแคท “อย่าแก้มัดบุ้งนะ”
“แคทรู้” แคทพยักหน้า
แล้วกิ๊ฟก็เดินออกไป

แคทเดินมานั่งบนเตียงข้างๆผม
“บุ้งอย่าโกรธกิ๊ฟเลยนะ กิ๊ฟไม่ได้ใจร้ายอย่างที่เห็นหรอก จริงๆกิ๊ฟน่าสงสารมาก เธอทำเพราะจำเป็น”
“แคทให้เราสงสารกิ๊ฟ แล้วมีใครสงสารเราล่ะ แคท... ทำไมทำกับเราอย่างนี้ ทำไมทำกับเราอย่างนี้...”
“ฟังแคทก่อนสิบุ้ง” แคทกล่าวสอดคำขึ้น “บุ้งไม่เชื่อมั่นในตัวแคทแล้วหรือ”
“ผมคงดูโง่มากเลยสินะ ถึงคิดจะหลอกลวงกันซ้ำซาก..อย่าหลอกเราอีกเลย บอกกับเราตรงๆเรายังรับได้มากกว่าที่แคททำกับเราแบบนี้”

“แคทกำลังจะบอกความจริงให้ฟังไง ฟังแคทก่อนได้ไม๊”

ผมหลับตา...
แคทลุกขึ้นมาเขย่าตัวผม

“มองหน้าแคทซิบุ้ง แคทจะพูดความจริงให้ฟัง มองหน้าแคทซิจะได้รู้ว่าแคทโกหกหรือเปล่า คนโง่” เธอพูดเสียงสั่นเครือ

ผมลืมตาขึ้น ใบหน้าของแคทเนืองนองด้วยน้ำตา ผมใจหายวูบ แม้ผมจะผิดหวังในตัวเธอแต่ก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ถึงยังไงแคทก็ยังเป็นคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่เธอทำกับผมยากที่จะทำใจได้จริงๆ

“พูดมาซิแคท เราถูกมัดไว้อย่างนี้ไม่ฟังก็ไม่ได้ แต่อย่าหวังว่าเราจะทำอะไรให้เธออีก อยากจะเพ้อเจ้ออะไรก็ตามสบาย”
“คิดไม่ถึงเลยว่าบุ้งจะดูถูกแคทอย่างนี้”
“เธอต่างหากที่ดูถูกเรา เอาเถอะ มันจบไปแล้ว คนโง่ที่รักเธอมันตายไปแล้ว เธอหลอกเราไม่ได้อีกแล้ว”
“ฟังแคทก่อนที่จะตัดสินแคทได้ไม๊ พ่อของกิ๊ฟทำธุรกิจขาดทุน ถ้าหาเงินไม่ได้เขาจะล้มละลาย กิ๊ฟต้องการใช้เงินนะ”
“น่าสงสารจัง”
“แคทบอกว่าจะขอเงินจากบุ้งให้ กิ๊ฟบอกว่าไม่มีประโยชน์ บุ้งไม่ใช่บุ้งคนเดิมแล้ว”
“เธอสองคนต่างหากไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยรู้จัก”

แคทพูดต่อไปโดยไม่สนใจกับคำเสียดสีของผม
“กิ๊ฟบอกว่า บุ้งจะจ่ายเงินให้แคทแต่จะไม่จ่ายเยอะหรอก ตอนนี้บุ้งมีพร้อมทุกอย่าง หล่อ รวย มีเงินเยอะจนใช้ไม่หมด บุ้งจะซื้อผู้หญิงสวยๆกี่คนมานอนด้วยก็ได้ เรื่องอะไรจะมาจริงใจกับแคท”
“ผู้หญิงเฮงซวยมีแต่คนโง่ที่จริงใจ”
“แคทเถียงกิ๊ฟว่าบุ้งไม่ใช่คนอย่างนั้น อืมม แปลกนะ บุ้งด่าแคท แต่แคทไม่รู้สึกโกรธเลย”
“ยินดีด้วยที่เธอถูกด่าแล้วยังไม่รู้สึกอะไร”
”อาจบางทีเป็นเพราะแคทรู้ว่าบุ้งไม่ได้คิดอย่างที่ปากพูด ฟังแคทต่อดีกว่า แคทเล่าถึงไหนแล้ว อ้อ ถึงตอนที่กิ๊ฟบอกว่าบุ้งจะซื้อผู้หญิงสวยๆกี่คนมานอนด้วยก็ได้ แคทเถียงว่าบุ้งไม่ใช่คนอย่างนั้น รู้ไม๊ว่ากิ๊ฟพูดอะไรต่อ กิ๊ฟพูดว่า เมียของจักรยุทธสวยมาก พนันได้เลยว่าไม่มีทางที่บุ้งจะยอมเลิกกับคนสวยขนาดนั้นมาแต่งงานกับแคท”

คราวนี้ผมเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก

“จริงรึเปล่าล่ะบุ้ง บุ้งจะยอมหย่าเพื่อแคทหรือเปล่า บุ้งจะทำหรือเปล่า”

ผมหลบตาแคท คำถามของเธอทำให้ผมตอบลำบาก ผมรักแคท แต่จะให้ผมหย่ากับพี่รุ้งเพื่อมาอยู่กับแคทเป็นไปไม่ได้ ผมกลับมาหาแคทเพราะต้องการจูบของแคทเท่านั้น แต่ผมจะพูดแบบนี้กับแคทได้ยังไง

“ตอบแคทซิบุ้ง บุ้งจะเลิกกับเมียของจักรยุทธเพื่อแคทได้หรือเปล่า”
“เรา...เราหย่ากับพี่รุ้งไม่ได้”
“งั้นบุ้งกลับมาหาแคททำไม ตามตื้อแคททำไม บุ้งหวังอะไร” แคทจ้องหน้าผม ผมรู้สึกกระสับกระส่าย เหงื่อไหลจนเปียกชุ่ม ฝืนยิ้มอย่างยากเย็น

“เรากลับมาหาแคทเก็เพราะเรารักแคทไง แคทไม่น่าจะสงสัยเราในเรื่องนี้” แม้แต่ผมเองก็รู้สึกว่าคำตอบดูเลื่อนลอยจนคล้ายคำแก้ตัว

ผมกลายเป็นฝ่ายตั้งรับไปแล้ว แคททำให้ผมรู้สึกผิดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ผมบริสุทธิ์ใจ แต่ผมบอกตามตรงไม่ได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำของผมจะเกิดข้อสงสัยมากมายขนาดนี้ ผมแค่ต้องการจูบจากแคทเท่านั้น บ้าชะมัดเลย

แคทเห็นผมนิ่งไปก็ถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“กิ๊ฟบอกว่า บุ้งหวังจะได้ตัวแคทเท่านั้น บุ้งไม่ใช่บุ้งคนเดิม บุ้งเป็นผู้ชาย ผู้ชายรวยๆอยากได้ผู้หญิงเป็นเครื่องเล่น จริงๆบุ้งจะซื้อผู้หญิงสวยๆกี่คนก็ได้ แต่บุ้งกลับมาหาแคทเพราะแคทคือผู้หญิงที่บุ้งเคยหวังแล้วไม่ได้ บุ้งคิดจะใช้เงินซื้อแคทเพื่อจะได้นอนกับแคทให้สมใจ” คำพูดพรั่งพรูจากปากแคทจนผมตั้งตัวไม่ติด “ตอบแคทหน่อยซิบุ้ง ทำไมบุ้งถึงมาสิงร่างผู้ชายล่ะ”
“เพราะผมหาร่างผู้หญิงไม่ได้” ผมตอบตามตรง
“ไม่ใช่หรอก บุ้งมาสิงร่างผู้ชายเพราะอยากเป็นผู้ชาย บุ้งอยากจะเป็นผู้ชายมาตลอดใช่ไหม บุ้งเลือกมาสิงร่างผู้ชายก็เพื่อสิ่งนี้ หลังจากบุ้งได้แคทแล้วจะทำยังไง บุ้งจะเลี้ยงแคทไว้เป็นเมียน้อย หรือเป็นนางบำเรอ”
“แคท เรา...เรา..ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แคทคิดไปเอง”
“แต่บุ้งทำอย่างที่กิ๊ฟบอกทุกอย่าง บุ้งยอมรับแล้วว่าไม่คิดจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้น แล้วแคทล่ะ แคทจะเป็นอะไรของบุ้ง” แคทสะอื้น หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา
“แคท แคทอย่าร้องไห้ เราไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะอยู่ในร่างผู้หญิงหรือผู้ชาย มันอยู่ที่หัวใจเราต่างหาก คนอื่นไม่รู้แต่แคทต้องรู้ซิว่าเราคิดกับแคทยังไง เราทำกับแคทยังไง เราไม่ใช่คนแบบนั้น นิ่งซิแคท อย่าร้องไห้”

แคทยังคงสะอึกสะอื้น ผมได้แต่ร้อนรุ่มใจแต่ไม่รู้จะปลอบเธอยังไงดี สักพักเธอก็กลั้นสะอื้น เงยหน้าขึ้น
”แคทก็ไม่เชื่อว่าบุ้งจะเป็นคนอย่างนั้น แคททะเลาะกับกิ๊ฟเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดกิ๊ฟเลยขอท้าพิสูจน์”
“กิ๊ฟ..จะ..พิสูจน์..ยังไง” ผมถามตะกุกตะกัก
“แทนที่จะเสียเวลาให้บุ้งตามตื๊อแคท กิ๊ฟบอกให้ยื่นข้อเสนอให้บุ้งไปเลย กิ๊ฟบอกว่าถ้าเสนอ..เอ้อ...” แคทหยุดพูด หน้าของเธอแดงซ่านด้วยความอาย ผมพอจะเดาได้เลยช่วยพูดให้
“เสนอตัวแคทกับกิ๊ฟให้ใช่ไหม”
แคทพยักหน้า
“ใช่ กิ๊ฟบอกว่าถ้าเสนอตัวแคทให้ บุ้งต้องยอมรับแน่นอน บุ้งมีเงินเยอะแยะ บุ้งจะจ่ายเงินเพื่อซื้อแคทโดยไม่เสียเวลาคิดเลย”

หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดนี้... ไม่น่าเชื่อเลย! ไม่อยากจะเชื่อเลย! เหตุการณ์มันพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ ความหวังที่ผมเหวี่ยงทิ้งไปแล้ว ถูกแคทเก็บกลับคืนมาให้อย่างไม่น่าเป็นไปได้

“เราไม่ยอมรับข้อตกลงของกิ๊ฟ” ผมตะโกน “แคทเห็นแล้วใช่มั๊ยว่าเราปฎิเสธกิ๊ฟ แคทรู้แล้วใช่มั๊ยว่าเราไม่ใช่คนแบบนั้น” ผมร้องออกมาดังๆ
แคทโผเข้ากอดผม
“บุ้งไม่ใช่คนแบบนั้น แคทรู้...แคทรู้อยู่ตลอดเวลา บุ้งเป็นบุ้งของแคทเสมอ ของแคทตลอดไป” แคทร้องไห้สะอึกสะอื้นแนบแก้มลงกับแก้มผม
“ใช่แล้ว เราไม่เคยมีใคร เราไม่เคยมีใครจริงๆ เรามีแคทคนเดียว” ดวงตาของผมพร่าเลือนด้วยน้ำตา “หัวใจเรามีแต่แคท แคทคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไม่มีใครแทนที่แคทได้ ไม่มีใคร...” ผมร้องไห้ออกมา น้ำตาของผมไหลรวมกับน้ำตาของแคทจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร แก้มเปียกชื้นแนบกันแน่น แต่หัวใจอบอุ่นยิ่งนัก แต่แล้วผมก็นึกถึงคำถามข้อนั้นของแคท

คำถามที่ยากจะตอบ..

“แคท....เรา เราบอกแล้วว่าเลิกกับพี่รุ้งไม่ได้ แคทรู้อย่างนี้แล้วยังจะรักเราอยู่หรือเปล่า” ผมพูดเสียงสั่น “แคทโกรธเรามั๊ย แคทยังรักเราอยู่หรือเปล่า”
แคทร่ำไห้ กอดผมแน่น
“แคทไม่สนใจ แคทรู้แต่ว่าบุ้งยอมตายเพื่อแคท...เท่านี้ก็พอแล้ว บุ้งรู้มั๊ยว่าแคทไม่เคยลืมคืนนั้น...แคทไม่เคยลืม บุ้งจะให้แคทเป็นอะไรก็ได้ จะให้แคทเป็นอะไรก็ยอม ขอแค่ได้อยู่กับบุ้งเท่านั้น อย่าทิ้งแคทไป อย่าจากแคทไปอีก” เธอร่ำไห้คร่ำครวญ

น้ำตาของผมไหลพรากไม่ขาดสาย... ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลง ความรักของเราเผชิญการทดสอบ และได้ผ่านพ้นแล้ว... ผมชนะ... ผมไม่ใช่เลิฟซีอีกต่อไป... ใครบอกว่าความตายของผมสูญเปล่า ใครกล้าบอกว่าความรักของผมสูญเปล่า...มันไม่ได้สูญเปล่าเลย มันไม่ได้หายไปไหน มันซ่อนตัวอยู่ในหัวใจของเราทั้งสองคน เมล็ดพันธุ์แห่งความรักที่ผมหว่านไว้ได้ผลิดอกออกผลอย่างสวยงาม...
....น่าเสียดายที่แคทตอบรับผมช้าไป เราจึงไม่ได้อยู่ชื่นชมความรักได้ยาวนานอย่างที่ควรจะเป็น...

“อย่าทิ้งแคทไป อย่าจากแคทไปอีก”

… หัวใจของผมแทบแหลกสลาย ผมอยากจะอยู่กับแคทใจจะขาด อยากอยู่อย่างนี้ไปชั่วชีวิต แต่เราต้องจากกันแล้ว ทุกอย่างถูกลิขิตไว้หมดสิ้น ไม่ว่ามันจะเริ่มต้นยังไง.... ดำเนินไปยังไง... แต่สุดท้ายมันจะจบลงด้วยการพลัดพราก

…....ตอนนี้เหลือเพียงจูบสุดท้ายจากแคทเท่านั้นที่ผมรอคอยมาตลอดสามเดือน


เลิฟซี บทที่ 30 – จุมพิตพิสูจน์รัก

“แก้มัดให้เราซิแคท”
“หือ?” แคทมองหน้าผมอย่างงุนงง
“แก้มัดเรา” ผมย้ำ “ไม่งั้นเราจะเซ็นเช็คให้กิ๊ฟได้ยังไง”
“บุ้ง...เธอไม่โกรธกิ๊ฟแล้วเหรอ”
“เรารู้ความจริงแล้วจะโกรธกิ๊ฟได้ยังไง”
“แต่บุ้งบอกว่า บุ้งไม่อยากใช้เงินนั้น บุ้งบอกว่ามันเป็นเงินของจักรยุทธ ไม่ใช่เงินบุ้ง”
“พ่อของเพื่อนเดือดร้อนขนาดนี้เราจะนิ่งดูดายได้ยังไง รีบแก้มัดเราเดี๋ยวนี้ก่อนที่เราจะเปลี่ยนใจ” ผมแกล้งขู่เธอ

แคทร้องออกมาอย่างดีใจ เธอรีบแก้มัดให้ผมอย่างลำบากยากเย็น เพราะเชือกมัดไว้แน่นมาก พอผมเป็นอิสระ ก็ขยับบีบนวดมือและแขนที่อ่อนล้าจากการถูกมัดเป็นเวลานาน แคทช่วยนวดให้ผมด้วย จากนั้นผมก็เดินมานั่งที่โต๊ะ แคทหยิบปากกาส่งให้ ผมนั่งลงเปิดสมุดเช็คเตรียมที่จะเซ็นชื่อ....

ฉันพลันผมก็นึกสังหรณ์ใจ เป็นความรู้สึกแปลกที่ทำให้ผมไม่สบายใจ...เรื่องนี้มันไม่สมเหตุผล

....ไม่สมเหตุผลยังไง มันก็ฟังดูกลมกลืนดีนี่ ....ความคิดผมเริ่มขัดแย้งกันอีกครั้ง

ไม่..มันไม่สมเหตุผล... เรื่องที่แคทเล่ามันไม่สมเหตุผล

ไม่สมเหตุผลยังไง…

ไม่รู้สิบอกไม่ถูก ...ใช่แล้ว มันไม่สมเหตุผลตรงประโยคนี้

“แคทรู้แต่ว่าบุ้งยอมตายเพื่อแคท... บุ้งรู้มั๊ยว่าแคทไม่เคยลืมคืนนั้น...แคทไม่เคยลืม จะให้แคทเป็นอะไรก็ยอม ขอแค่ได้อยู่กับบุ้ง”

ทำไมล่ะ ไม่สมเหตุผลยังไง แคทจริงใจขนาดนี้

...ไม่สมเหตุผลมากๆเลย ก่อนหน้าที่ผมจะบอกความจริง แคทไม่รู้นี่นาว่าผมคือบุ้ง เธอคิดว่าผมเป็นจักรยุทธ แล้วเธอก็มอบความรักให้กับจักรยุทธอย่างเต็มที่ ถ้าแคทรักผมอยู่ตลอดเวลา ทำไมตอบรับความรักของจักรยุทธมากมายขนาดนั้น กับกิ๊ฟอีกคนล่ะ แคทมีรักแท้มากมายไปหมดเลยหรือ...

คิดถึงตรงนี้ผมก็เย็นวาบไปทั้งตัว
จินตนาการของผมหลุดลอยไปถึงวันนั้น

...วันที่แคทฉลองกับกิ๊ฟที่หลอกรุ่นพี่บ้ากามเข้าคุกได้สำเร็จ

...กิ๊ฟเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายไว้
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะแคท ปลื้มล่ะสิ ที่เอาพวกรุ่นพี่ตัวแสบเข้าคุกได้”
แคทยิ้มหวาน
“แคทแสดงเก่งไม๊ล่ะกิ๊ฟท์”
“เนียนเลยล่ะแคท ขนาดกิ๊ฟท์ยังนึกว่าแคทโดนยาจริงๆซะอีก”

ใช่แล้ว..แคทแสดงเก่งมากๆ ผมดูเธอไม่ออกเลย
...ครั้งนั้นคือการแสดง แต่ครั้งนี้ล่ะ เมื่อสักครู่นี้ล่ะ มันเป็นการแสดงของเธออีกหรือเปล่า?

หัวใจของผมเต้นตึกตักอย่างรุนแรง รู้สึกสับสน ผมควรจะถามแคทว่าเธอรักจักรยุทธจริงๆหรือเปล่า แต่คำถามของผมจะทำให้เธอระแวง ไม่ดีกว่า ผมมีวิธีพิสูจน์ความรักได้ดีกว่านี้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจสิ้นหนทางที่จะรู้ความลับในหัวใจของแคท แต่ผมมีวิธีพิสูจน์

วิธีพิสูจน์รักแท้ของแคทที่เด็ดขาดที่สุด เชื่อถือได้มากที่สุด!

ผมตวัดปากกาเซ็นเช็ค... ฉีกมันออกมาจากเล่ม แล้วพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ แคทมองหน้าผมอย่างแปลกใจ

“ทำไมล่ะบุ้ง เอาให้แคทซิ แคทจะได้เอาไปให้กิ๊ฟ เอาใส่กระเป๋าเสื้อทำไม”
ผมยิ้มให้เธอ
“เราขออะไรซักอย่างได้มั๊ย”
“อะไร”
“จูบเรา...เราต้องการจูบจากรักแท้ของแคท”
แคทยิ้มหวาน
“ได้ซิบุ้ง”

ผมถอนหายใจ ได้เวลาแล้ว ได้เวลาที่ผมจะรู้ความจริง ผมดึงร่างอ้อนแอ้นของเธอมากอดไว้ มองริมฝีปากสวยน่าจุมพิตของเธอ แคทหลับตาพริ้ม หน้าแดงระเรื่อ ...นี่หรือใบหน้าของคนที่จะหลอกผม...มันเป็นไปไม่ได้ ลางสังหรณ์งี่เง่าอีกแล้ว ผมช่างโง่เง่าสิ้นดี

แต่ถึงกระนั้นหัวใจของผมก็ยังเต้นแรง แคทรักผมหรือไม่ ผมจะรู้ในตอนนี้แล้ว...

ผมก้มลงไป.... ประทับริมฝีปากไปบนริมฝีปากแสนสวยของเธอ น้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความปลาบปลื้ม ไม่มีวินาทีไหนที่ผมจะมีความสุขไปมากกว่านี้อีกแล้ว...

....แม้หัวใจของผมยังมีคำถามวนเวียนไม่จบสิ้น..

แคทรักผมจริงหรือเปล่า...

คำตอบกำลังจะปรากฏออกมาแล้ว...


เลิฟซี บทที่ 31 – ปรมาจารย์เกมรัก

เราแลกเปลี่ยนความหวานชื่นกันอย่างดื่มด่ำ ลิ้มรสความสุขอยู่เป็นเวลานานก่อนที่ผมจะถอนริมฝีปากออก....

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อผมถอนริมฝีปากออก!

ความหวานชื่นยังหอมติดริมฝีปาก
...แต่ผมแทบสิ้นเรี่ยวแรงที่จะทรงตัว

แคทโหดร้ายมาก เธอหลอกผมจนวินาทีสุดท้าย... หลอกผมอย่างเลือดเย็น

“ขอบคุณนะแคท เรารู้หัวใจที่แท้จริงของเธอแล้ว” ผมฝืนพูดอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามกล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้

แคทหน้าแดงซ่านด้วยความอาย ถ้าไม่ใช่เพราะจูบนั้นไม่มีทางเลยที่ผมจะดูออกว่าเธอเสแสร้ง แคทเป็นสุดยอดในด้านนี้อย่างแท้จริง

“เอาเช็คให้แคทซิบุ้ง แคทจะเอาไปให้กิ๊ฟ” แล้วแคทก็กระซิบ “คืนนี้บุ้งต้องอยู่เป็นเพื่อนแคททั้งคืนนะ” หน้าของเธอแดงเข้มขึ้นอีกเมื่อพูดประโยคนี้

“แคทไปตามกิ๊ฟมาดีกว่า เราอยากให้กิ๊ฟกับมือ” ผมพูดอย่างหดหู่
“ได้ซิบุ้ง” แคทพูดเสียงใส “แคทจะไปตามกิ๊ฟมา บุ้งจะได้รู้ว่ากิ๊ฟดีใจแค่ไหน”
แคทพูดอย่างร่าเริงแล้ววิ่งออกไป

น้ำตาของผมไหลพรากออกมาอีกครั้ง...
แคทใจร้ายเกินไป แล้วเธอก็เก่งฉกาจเกินไป...

ความจริงผมตัดใจแล้วว่าจะไม่เชื่อเธออีก แต่แคทเอาเรื่องที่ผมยอมตายเพื่อปกป้องเธอในคืนนั้นมาหลอกลวงความเชื่อถือ จากผม นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะหลอกผมได้อีกครั้ง มีแต่คนที่ไร้น้ำใจสุดขีดเท่านั้นที่จะหลอกกันด้วยเรื่องนี้

..แคทไม่เคยลืมคืนนั้น...แคทไม่เคยลืม บุ้งจะให้แคทเป็นอะไรก็ได้ จะให้แคทเป็นอะไรก็ยอม ขอแค่ได้อยู่กับบุ้งเท่านั้น…

สุดยอดจริงๆ! ผมเดาได้เลยว่าเธอสนุกสนานเพียงใดที่เห็นผมร้องไห้ฟูมฟายกับการแสดงที่ สมบูรณ์จนไร้ที่ติของเธอ ผมเป็นคนโง่ที่เธอหลอกลวงได้อย่างไม่รู้จบ ...ความตายของผมไม่มีความหมายอะไรกับเธอเลย... ไม่มีซักนิด...

แคทเล่นเกมรักระดับปรมาจารย์ ชั้นเชิงของเธอเหนือชั้นจนไม่มีใครทาบติด ขนาดรุ่นพี่บ้ากามที่ขยี้สวาทผู้หญิงมานับไม่ถ้วนอย่างพี่กบพี่เรยังพ่ายแพ้ ให้กับเธอ แล้วผมที่อ่อนหัดยิ่งกว่าเด็กอนุบาลจะไปสู้เธอได้ยังไง
...ผมไม่มีคุณสมบัติจะเล่นเกมรักกับเธอ
แม้จะเป็นลูกศิษย์ของเธอก็ยังไม่คู่ควร

..นี่หรือตัวตนแท้ๆของคนที่ผมยอมพลีชีวิตเพื่อช่วยเธอ... นี่หรือคือสิ่งตอบแทนที่ผมได้รับ... พอกันที!

ผมหยิบเช็คในกระเป๋าออกมา
ฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โปรยมันกับพื้น...

ผมหยิบสมุดเช็คบนโต๊ะขึ้นมา
ฉีกมันทุกใบ
ฉีกมันจนละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…
แล้วโปรยปรายมันจนเกลื่อนพื้น

ผมยิ้มอย่างสะใจ...

ไม่มีอะไรที่ผมจะสูญเสียอีกแล้ว
เสียแคทคือเสียทุกสิ่งในชีวิต!


Offline bigkito

  • Super Master Hero
  • **********
    • Posts: 777
    • เสียว: 1
    • View Profile
Reply #9 on: December 09, 2010, 05:44:45 am
 (010; (007; (007; (007; (007;



Offline Ultrasonic

  • Master Hero
  • *
    • Posts: 64
    • เสียว: 0
    • View Profile
Reply #10 on: December 09, 2010, 12:19:54 pm
 (00; ขอบคุณครับ

อยากอ่านเรื่องยาวๆ แบบนี้มานานแล้วครับ