เมื่อยังเล็กๆอยู่นั้น การทะเลาะเบาะแว้งเป็นประจำระหว่างพ่อแม่ของดิฉันเป็นพฤติการณ์ที่ดิฉันจำได้แม่นและไม่อาจตัดสินได้ว่าฝ่ายใดควรได้รับการตำหนิเนื่องจากดิฉันยังเด็กมาก แต่เมื่อดิฉันเติบโตขึ้น ก็สังเกตได้ว่าเมื่อแม่เอ่ยชื่อ หมอทองสุก เมื่อใดคุณพ่อจะเป็นโกรธเป็นแค้นหนักหนา และจำได้ทุกคราวที่หมอทองสุกมาที่บ้าน มักจะเป็นเวลาที่คุณพ่อไม่อยู่บ้านแล้วแม่จะมากำชับดิฉันว่า อย่าให้คุณพ่อรู้ว่าหมอทองสุกมา ดิฉันแน่ใจทีเดียวว่าคงมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้นในบ้านจึงได้คอยสังเกตด้วยความคิดอย่างเด็ก ๆ ว่า ทำไมคุณพ่อจึงได้โกรธแม่และหมอทองสุก ในเมื่อหมอทองสุกเอาใจคุณแม่ถึงกับกอดจูบและแม่ก็กอดจูบตอบซึ่งดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
พฤติการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาประมาณสองปี หมอทองสุกมาหาแม่บ่อย ๆ ถ้าพ่อไม่อยู่ แม่ก็ไล่ดิฉันออกไปเล่นนอกบ้านแต่ดิฉันก็แน่กว่า คือมักจะกลับมาแอบดูเสมอ ดิฉันเห็นคุณแม่กับหมอทองสุกพากันไปที่ห้องนอนทุกครั้งแต่ไม่รู้ว่าเข้าไปทำไมกัน
วันหนึ่ง คุณพ่อและแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ดิฉันไม่รู้หรอกว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เห็นแต่คุณพ่อหยุดเอ็ดตะโรเดินออกไปจากบ้าน แม่ก็เก็บของและพาดิฉันไปขึ้นรถไฟที่สถานีซึ่งไม่ไกลจากบ้านนัก ดิฉันไม่กล้าถามอะไรแม่เกรงว่าจะเป็นการกวนใจ จึงได้แต่นั่งเฉย ๆ เมื่อถึงสถานีแล้วแม่พาไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
ดิฉันดีใจมากที่หมอทองสุกมาเยี่ยมเราในตอนเย็นวันนั้น แม่ก็ดีใจมากจนถึงแก่โผเข้ากอดหมอทองสุกแล้วก็ประคองกันไปนั่งที่ห้องรับแขก คุยกันอย่างสนุกสนาน พอค่ำลงแม่ก็ไล่ให้ไปนอนดิฉันก็ไม่ขัดขืน วิ่งเข้าห้องนอนได้ก็ทำเป็นหลับ สักครู่แม่ก็เข้ามาคงคิดว่าดิฉันหลับแล้ว แม่ถอดเสื้อกระโปรงแล้วขึ้นมานอนบนเตียง อีกสักครู่หมอทองสุกก็เข้ามาในห้องถอดเสื้อผ้ากางเกงออกแล้วก็ขึ้นมานอนบนเตียงนอนติดกับแม่ ทั้งสองคนพูดกันค่อย ๆ อยู่นานจนดิฉันชักง่วงขึ้นมาจริง ๆ แต่พอหมอขยับตัว ดิฉันก็รู้สึกตัวตื่นและได้ยินคุณแม่กระซิบว่า
"ค่อย ๆ นะคะ..ระวังแก่นใจตื่น"
มีเสียงขยับตัวและขยับอีก ดิฉันไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกัน แต่ชั่วประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงคุณแม่พูดด้วยเสียงเบา ๆ และเครือ ๆ ว่า "น้องจับใส่ให้นะคะ" แล้วก็มีเสียงจูบกันแรง ๆ เตียงเริ่มไหวเขยิบแต่ไม่ค่อยแรงนักคงจะกลัวเราตื่นขึ้นนั่นเอง ตอนนั้นดิฉันไม่รู้ว่าเขาจับอะไรใส่กันบ้างจนกระทั่งมาตอนหลังที่ดิฉันโตขึ้น นั่นแหละค่ะ..ค่อยเข้าใจ
สักครู่ใหญ่ ๆ เตียงชักเริ่มไหวแรงขึ้นทุกที เสียงหมอทองสุกหายใจฮึดฮัด เสียงคุณแม่ครางอ่อย ๆ เสียงสูดเสียงซี๊ดปากดังอยู่สักครู่ก็หยุดเคลื่อนไหวดูเงียบกันไปหมดนอกจากเสียงครางอ่อย ๆ พร้อมกันอย่างมีความสุขเหลือล้น หมอทองสุกค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงจากตัวคุณแม่มานอนข้าง ๆ กอดคุณแม่เฉยอยู่ ดิฉันประหลาดใจนักว่าเขาทำอะไรกันนะ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโง่มืดแปดด้านในเวลานั้น ลงท้ายดิฉันก็ง่วงหลับไป
พอรุ่งขึ้น ดิฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็ไม่เห็นหมอทองสุกเสียแล้ว เข้าใจว่าคงจะกลับไปเสียแล้วตั้งแต่ตอนดึก ดิฉันไม่ได้ถามอะไรคุณแม่เพราะแน่ใจว่าคุณแม่ไม่ต้องการให้ดิฉันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จึงคิดว่าเฉยไว้ดีกว่า วันนั้นทั้งวันไม่เห็นหมอทองสุกมา แต่พอค่ำลงหมอทองสุกก็เข้ามาในห้องเลยทีเดียว
ค่ำวันนี้ ดิฉันถูกไล่ให้เข้านอนตามเคย พอคะเนว่าดิฉันคงจะหลับแล้วคุณแม่ก็เข้ามาในห้องถอดเสื้อกระโปรงออกแล้วก็ขึ้นเตียง คราวนี้ดิฉันนอนในท่าที่พอจะมองเห็นอะไรทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเห็นหมอทองสุกเดินเข้ามาตัวล่อนจ้อนทีเดียว
คุณแม่ขยับตัวให้หมอทองสุกนอนข้าง คืนนี้แม้จะดับไฟหมดก็ยังมีแสงเดือนจากข้างนอกส่องเข้ามาในห้องนอนสลัว ๆ พอมองเห็นตัวกันได้ ดิฉันเห็นหมอทองสุกก่ายสะโพกแม่มือก็ลูบคลำเต้านมอันสล้างของคุณแม่ ปากก็คุยกันจุ๋งจิ๋งจับไม่ได้ว่าคุยกันเรื่องอะไร ที่ชัดที่สุดคือตอนที่หมอทองสุกพูดขึ้นว่า
"แก่นใจนอนหลับสนิทดีจริงนะที่รัก"
"ค่ะ" เสียงคุณแม่ตอบ "แกหลับสนิทเสมอทีเดียว! แหละค่ะ"
พอขาดเสียง ดิฉันเห็นหมอทองสุกลุกขึ้นคร่อมบนตักคุณแม่ แม่เอาผ้าห่มคลุมหมอทองสุกจนดูเป็นเนินเขาเล็กๆเนินหนึ่ง เห็นแต่หัวคนทั้งสองหน้าติดกันแน่นและแนบสนิท มีเสียงดูดริมฝีปากซึ่งกันและกันอยู่จ๊วบ ๆ และตรงก้นก็ขยุกขยิก เตียงก็เริ่มไหวเขยิบ ๆ เหมือนคืนก่อน ประเดี๋ยวแม่ก็เขยิบขยับเคลื่อนตัวตามไปด้วย
"เป็นอย่างไรบ้าง" หมอทองสุกถาม "อร่อยไหมจ๊ะ"
"เสียวเหลือเกินค่ะ" คุณแม่กระซิบตอบพร้อมกับได้ยินเสียงซี๊ดปาก ต่อจากนั้นเตียงก็ชักไหวแรงขึ้นทุกที มีเสียงสูดปากเหมือนกับกินของเผ็ด ๆ แล้วก็มีเสียงซี๊ดปากสลับกันไปด้วย คืนนี้รู้สึกว่าจะรุนแรงกว่าคืนก่อนมากและหมอทองสุกไม่ค่อยระวังตัวกลัวดิฉันจะตื่น คุณแม่ก็กอดหมอทองสุกเสียแน่น ดิฉันได้แต่เฝ้าพิศวงอยู่คนเดียวว่าทำอะไรกันจึงพูดว่าเสียว และไม่เห็นว่ากินอะไรก็ถามว่าอร่อยไหม จนแล้วจนรอดก็งงไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไรและเรื่องอะไรจึงต้องกอดกันจนหายใจหายคอไม่ออกและเตียงก็ไหวสะเทือนไปหมด
อีกสักครู่ใหญ่มีเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนทั้งคู่แล้วพากันเงียบเสียงไปหมด หมอทองสุกก็เลิกผ้าห่มที่คลุมบนหลังของเขาออก ดิฉันจึงเห็นว่าหมอทองสุกอยู่ระหว่างขาของแม่ซึ่งดึงผ้าห่มคลุมตัวทันที รุ่งขึ้นหมอทองสุกก็หายตัวไปก่อนที่แม่จะตื่นอีกตามเคย
ก่อนเที่ยงวันเล็กน้อย คุณพ่อกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งดิฉันไม่รู้จักมาก่อนหน้านี้เลยได้มาหาแม่ที่โรงแรม หลังจากแม่กับพ่อพูดโต้ตอบกันสักพักใหญ่ พ่อก็นำดิฉันพรากจากแม่ออกจากห้องพักไปโดยปล่อยให้คุณแม่นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
ครั้งแรก พ่อกับดิฉันกลับไปยังบ้านของเรา แต่ต่อมาอีก ๖-๗ วันท่านก็พาดิฉันไปอยู่กับครอบครัวหนึ่งในต่างจังหวัด ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีอยู่แค่สามีภรรยากับลูกสาวซึ่งมีเรือนไปแล้ว และในตอนที่ดิฉันไปอยู่ครั้งแรกนี้เองพอดีเป็นเวลาที่ลูกสาวของเขามาเยี่ยมบ้าน ฉันไม่ได้เล่าเรื่องคุณแม่และหมอทองสุกให้ใครฟังเลย โดยที่ดิฉันมีนิสัยติดอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นคนที่อยากแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง
ลืมเล่าไปว่าลูกสาวของสามีภรรยาที่เราอาศัยอยู่ด้วยนี้ชื่อ ปรียา ซึ่งได้ก่อให้เกิดความประหลาดใจแก่ดิฉันเป็นอย่างมากโดยดิฉันไม่ทราบว่าทำไมปรียาจึงท้องโตผิดปกติ ในที่สุดฉันก็ทราบว่าเธอได้แต่งงานและไปอยู่กับสามีหนุ่มของเธอนั่นเองเธอจึงมีอาการเช่นนี้ เราได้ยินเขาเรียกกันว่ามีท้องหรือตั้งครรภ์ และการที่เธอกลับมาบ้านบิดามารดาคราวนี้ก็เพื่อรับการประคบประหงมในการคลอดลูกออกมาจากท้องของเธอนั่นเอง และในไม่ช้าเมื่อทำคลอดเรียบร้อยแล้วท้องของเธอก็จะแฟบเล็กลงเหมือนเดิม สิ่งนี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้แปลก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งว่า ท้องของผู้หญิงจะใหญ่ ๆ โต ๆ เล็ก ๆ ได้ง่าย ๆ ส่วนผู้ชายไม่เป็น แต่..เขาเป็นคนทำให้เราเป็น
ดิฉันอยู่กับครอบครัวนี้ไม่นานนัก คุณพ่อก็พาดิฉันไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีเด็กสาวเป็นลูกกำพร้าสองคน คนหนึ่งอายุพอ ๆ กับดิฉันอีกคนหนึ่งแก่กว่าดิฉันสองปี ที่ครอบครัวนี้ฉันได้ความรู้ทางเพศอันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมากทีเดียวซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงควรรู้เสียด้วย ตลอดเวลา ๓ ปีที่อยู่ที่นี่ ดิฉันได้รับความรู้เพิ่มเติมอีกมากดังที่ดิฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
ใกล้ ๆ บ้านที่เราอยู่นั้นมีฟาร์มเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและมีเด็กหนุ่มอายุราว ๆ ๑๖-๑๗ อยู่ ๒ คน พวกเราได้สนิทสนมกันเป็นอย่างดีในฐานะเพื่อนบ้านและเนื่องจากอายุอ่อนแก่กว่ากันไม่กี่ปีนี่เองจึงทำให้เราเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันพอดู แต่ต่อมาคุณพ่อกลับมาย้ายดิฉันไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่งเสียอีกแต่โชคยังไม่ร้ายนักเพราะที่บ้านใหม่นี้อยู่ไม่ไกลกับบ้านเก่าที่ดิฉันย้ายมาเท่าใด ครอบครัวที่ดิฉันมาอยู่ด้วยมีเพียงสองคนสามีภรรยาอย่างคราวแรกแต่ไม่มีลูกมีเต้าเลย สิ่งนี้ช่างทำให้ดิฉันเงียบเหงาเสมอ ดิฉันจึงแอบไปเที่ยวที่บ้านเก่าซึ่งมีเพื่อนอยู่สองคน คนโตชื่อกิ่งและคนรองชื่อแก้ว เราทั้งสามคนเป็นเพื่อนคู่หูกันทีเดียวในเวลาต่อมา
กิ่งนั้นมีเรือนร่างที่อวบใหญ่ แม้อายุจะเพียง ๑๔ ปีเท่านั้นก็ดูคล้ายกับหญิงรุ่น ๆ ส่วนแก้วนั้นร่างเล็กอายุน้อยกว่ากิ่งคืออายุพอกับดิฉันซึ่งมีอายุ๑๒ ปีพอดี แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเพศและพฤติการณ์ที่ผ่านมาแล้วทำให้ดิฉันดูตัวราวกับเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มที เห็นจะเป็นด้วยอายุเข้าขีดความเป็นสาวรุ่นนั่นแหละมากกว่า
กระบวนการทำอะไรที่พิศดารกันแล้วดิฉันต้องยกให้แม่กิ่งของดิฉันเป็นที่หนึ่ง เช่นวันหนึ่งพอพวกเรามารวมกลุ่มกันเช่นเคย กิ่งก็ชวนเราให้พากันเข้าไปในโรงนากว้าง ๆ ซึ่งว่างอยู่โรงหนึ่งข้างบ้าน เรานั่งคุยกันอย่างสนุกสนานสักครู่กิ่งก็เอนตัวลงนอนอย่างสบายพลางเลิกกระโปรงของเธอขึ้นมาเหนือบั้นเอว อีกมือหนึ่งก็ทำการแกะกางเกงในออกทำให้เห็นแผ่นเนื้ออูมคล้ายหลังเต่าอยู่ใต้ท้องน้อยตรงระหว่างขาของเธอถนัดตา มันมีขนสีทองอันอ่อนละเอียดขึ้นอยู่บาง ๆ อย่างเกลื่อนกล่นบ้างแล้วทำให้น่าดูชมเสียยิ่งกระไร แก้วจึงมองดูโคกเนื้อของกิ่งด้วยความสนใจเพราะมันผิดกับของเธอและของดิฉันซึ่งยังไม่เคยมีขนและผึ่งผายใหญ่งามถึงเพียงนั้น แก้วเอื้อมมือไปลูบเล่นเบา ๆ และพูดว่า "สวยจริง" แต่พอดิฉันจะลองคลำของกิ่งดูบ้างก็พอดีเสียงประตูโรงนาเปิดออกและเห็นลูกชายเจ้าของฟาร์ม หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่ชื่อ ปลิว ก้าวเข้ามาอย่างยิ้มแย้มคล้าย ๆ กับจะมาร่วมวงสนทนากับเราด้วย
ดิฉันกำลังตกใจในการมาเยี่ยมเยือนของปลิวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวจึงลุกขึ้น แต่หนุ่มน้อยมิได้ว่ากระไร เขานั่งลงอย่างอารมณ์ดีข้าง ๆ ตัวกิ่งแทนที่ดิฉัน กิ่งคงนอนหงายกระโปรงเปิดอยู่ด้วยความตกตะลึง ส่วนแก้วนั้นนั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของตัวกิ่งและจ้องมองใบหน้าอันยิ้มระรื่นของปลิวไม่วางตาเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรขึ้นมาก่อน แต่แล้วแก้วก็เห็นชายหนุ่มกำลังเอื้อมมือไปวางอย่างเเผ่ว ๆ ที่โคกเนื้ออันงามตระการของกิ่ง กิ่งร้องค่อย ๆ ด้วยความตกใจแล้วเอามือของเธอจับเอามือของเขาออก แต่ก็ไม่สำเร็จ กิ่งจึงบอกแก้วด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า
"ช่วยฉันแกะมือปลิวออกด้วยซิ แก้วจ๋า เร็วซิ..แหมทำอะไรก็ไม่รู้" แต่ขณะนั้นแก้วตั้งสติได้แล้วเลยเห็นเป็นของสนุกไป เธอกลับฉุดเอามือของกิ่งออกจากมือของปลิวซึ่งกำลังลูบคลำเนินเนื้ออันโคกคว่ำเพลินอยู่ และแก้วก็นั่งทับบนขาของกิ่งพลางพูดอย่างครึ้ม ๆ ว่า
"นอนนิ่ง ๆ นะเธอ เราเป็นเพื่อนกันแท้ ๆ ขอดูอีกนิดนะ เธอไม่สงสารปลิวบ้างหรือจ๊ะ ดูซิ..เขาจ้องมองดูหว่างขาของเธอตาเป็นมันเชียว"
กิ่งไม่รู้จะตอบว่ากระไรเลยได้แต่เอามือปิดหน้าด้วยความอายเพราะถึงเธอจะเล่นพิศดารเปิดของดีออกให้เพื่อนหญิงทั้งสองของเธอได้ชมก็จริง แต่นี่เป็นผู้ชายซึ่งเป็นหนุ่มแล้วอยู่ด้วยและมิหนำซ้ำมือของเขาก็กำลังลูบจับมันอยู่ทีเดียว
ปลิวต้อนรับความมีโชคดีของเขาด้วยการก้มลงมองดูตรงที่มือแปะอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ ปากก็ชมเชยความน่ารักของมันมิได้ขาด เขาลูบไล้ลานโคกของกิ่งไปมาจนเธอต้องส่ายสะโพกน้อย ๆเพราะมืออันซุกซนของเขายามที่ปลายติ่งเนื้ออันชี้เด่พ้นปากแคมที่แน่นกระชับได้รับการสัมผัสจากมือของเขา เธอถึงกับครางออกมาเบา ๆ อา..มันเป็นความรู้สึกที่แปลกซึ่งเธอพึ่งจะได้รับจากมือผู้ชายเป็นครั้งแรก และมันเป็นรสที่ซาบซึ้งตรึงใจอะไรเช่นนั้น
ข้างพ่อหนุ่มน้อยเมื่อเห็นสาวกิ่งผ่อนตามเขาด้วยความสุขเขาจึงยิ้มออกมาพลางก็เอามืออีกข้างหนึ่งแกะกระดุมกางเกงออก แก้วและดิฉันมองไปที่ตรงนั้นเห็นมีอะไรตุงอยู่ข้างในท่อนไม่ใช่เล็กทีเดียว และในไม่ช้าพอกระดุมหลุดออกจากรังหมดเท่านั้น เราก็ได้เห็นลำเนื้ออันแข็งยาวท่อนหนึ่งโผล่ออกมาทันที ดิฉันไม่เคยเห็นท่อนเนื้อประหลาดใกล้ ๆ เช่นนี้มาก่อนเลยนอกจากจะได้ชมตอนที่คุณหมอทองสุกมานอนคุยกับแม่ที่โฮเต็ลเท่านั้นและก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันหรือทำเช่นนั้นด้วยอะไรบ้าง ถึงเดี๋ยวนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้นอกจากจะได้เห็นสิ่งประหลาดของปลิวโผล่ออกมาจากกางเกงของเขาเป็นวาระแรก ดิฉันอธิบายมันไม่ถูก เพราะดูเหมือนกล้วยลูกใหญ่ ๆ และก็เหมือนท่อนเอ็นแข็ง ๆ ท่อนหนึ่งมีหนังหุ้มปิดเปิดออกได้ ที่ตรงปลายเป็นหัวควั่นพองโตสีแดงเข้มมีรอยผ่าเล็ก ๆ ที่หัว ตรงโคนมีขนสีน้ำตาลขึ้นอยู่ไม่น้อยคล้ายกับขนที่โคกเนื้อของกิ่งเหมือนกันแต่ของปลิวมีมากกว่าและหยิกฟูน่าดูมาก ที่โคนเจ้าดุ้นยาวนั้นทำไมถึงมีลูกเนื้อกลม ๆ สองลูกห้อยอยู่ด้วยก็ไม่ทราบ เวลาเขาเดินไปไหนมาไหนคงแก่วงเกะกะไม่น้อยและไอ้ดุ้นนั่นก็จะต้องสั่นหัวไปมาไม่หยุดหย่อน เขาคงรู้สึกรำคาญแย่เชียวทำให้ดิฉันไม่อยากมีอะไรอย่างผู้ชายเลย เพราะมันไม่เหมือนของพวกเราผู้หญิงสักนิดที่นูนเกลี้ยงแนบสนิทกับหว่างขาอย่างน่าชม ประกอบด้วยรอยผ่าสีชมพูเรื่อ ๆ อย่างที่ของกิ่งที่เราได้เห็นเต็มตาในวันนี้ ขณะนั้นเราเห็นหนุ่มปลิวเอามือกุมเจ้าท่อนเนื้อไว้และพูดว่า
"กิ่งจ๋า..แม่เพื่อนรัก ฉันไม่เอาเปรียบเธอหรอกนะที่เธอให้ชมของเธอ ฉันก็ยินดีให้เธอชมของฉันเหมือนกัน" รู้สึกว่าขณะที่ปลิวพูดนั้น ก้อนเนื้อของเขายิ่งยาวเหยียดออกมาอีกเป็นกอง
แก้วนิ่งอยู่ไม่ไหว เธอก็สนใจมากเท่า ๆ กับดิฉันแต่ยังไวกว่าดิฉันเสียอีกเธอเอื้อมมือไปจับดุ้นเอ็นของปลิวไว้อย่างเต็มกำทีเดียว หนุ่มน้อยก็ยอมให้เธอจับเล่นอย่างไม่ขัดใจ แก้วรู้สึกภูมิใจในความรู้ใหม่ของเธอมาก เธอลูบคลำมันอย่างย่ามมือแล้วหันมาพูดกับดิฉันอย่างแปลกใจ
"แก่นใจ..ดูซิ แหมมันเต้นตุ๊บ ๆ ดิ้นใหญ่เชียว...ฉันจะเปิดหัวมันให้ตลอดเลย คอยดูนะ..อุ๊ย...แปลกพิลึก"
แก้วไม่พูดแต่ปาก เธอเอานิ้วรูดปลอกหนังประหลาดลงจนสุด หัวใหญ่ตอนปลายเอ็นของปลิวแดงจัดสั่นหัวหงึก ๆ เหมือนตุ๊กตาตัวย่อมที่มีชีวิตชีวาน่าลูบน่าคลำเล่นจัง ดิฉันคิด และตอนนี้ดิฉันอยากลองแตะมันดูบ้างแต่ใจหนึ่งก็ไม่กล้าจึงได้แต่เอื้อมมือไปเอาปลายนิ้วแตะ ๆ ที่หัวของมันเท่านั้น ต๊าย..ตาย มันกระดุบใหญ่แล้ว ปลิวเกิดมีอาการซู้ดปากออกมาเล่นเอาแก้วซึ่งกำลังเอามือรูดรั้งท่อนเนื้อไว้จนติดโคนหัวเราะเสียงอไปงอมา เสียงหัวเราะของสาวรุ่นทำให้กิ่งโฉมงามซึ่งกำลังนอนปิดตาอยู่นั้นเผยอเปลือกตาผงกศีรษะขึ้น พอหล่อนได้เห็นท่อนเอ็นประหลาดเข้าเท่านั้นมันทำให้เธอถึงกับจ้องดูไม่วางตาเช่นเดียวกับดิฉันและแก้ว เธอถึงกับชมเชยความเข้มแข็งของเขาออกมาและนัยน์ตาของกิ่งก็เยิ้มเป็นประกาย ทรวงอกสะท้านขึ้นลงด้วยความรู้สึกที่ดิฉันบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ ว่าขณะนั้นกิ่งเธอนึกถึงอะไรต่อสิ่งที่เธอกำลังได้ประสบอยู่นั้น
แต่ไม่ทันจะต้องนึกเดาไปนานเท่าไรเลย หนุ่มปลิวก็ช่วยแหวกกางเกงของเขาให้ต่ำลง พอมันลงไปกองอยู่ที่เท้าทั้งสองเขาก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาของกิ่งพอดี ปลิวเอามือหนึ่งของเขากำดุ้นเนื้อซึ่งเหยียดยาวใหญ่อย่างเต็มที่จ่อไปที่ใกล้รอยเนื้อแยกของกิ่ง อีกมือหนึ่งของเขาก็ลูบไล้ไปบนโคกและค่อย ๆ แหวกแนวแยกของเนื้อที่ประกบกันออก ดิฉันมองเห็นแคมทั้งสองที่เผยอปากออกมานั้นมีสีแดงเป็นกลีบน่ารักและฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำลื่นชนิดหนึ่งทีเดียว ปลิวบรรจงจับหัวลึงค์เขี่ยไปมาบริเวณปากแคมอันอวบแน่นแล้วเขาโยงโย่ทำท่าเหมือนจะกดมันลงไป แต่พอจะเข้าด้ายเข้าเข็มนั้นเอง พวกเราก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าอยู่ภายนอกโรงนา ดิฉันกับแก้วใจเต้นด้วยความตระหนก จึงพากันวิ่งไปแอบดูที่หน้าต่างซึ่งเปิดแง้มอยู่ เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังเดินเรื่อย ๆ มาทางโรงนาที่กำลังเริ่มแสดงบทบาทอันน่าพิศวงกันอยู่ ท่าทีของชายแปลกหน้านั้นบ่งว่าจะตรงเข้ามาในโรงนาอยู่แล้ว
ดิฉันรีบร้องบอกให้ปลิวและกิ่งรู้ตัว ปลิวนั้นตกใจมาก เขากระโดดลุกพรวดขึ้นทั้ง ๆ ที่ท่อนเอ็นยังลุกตั้งแข็งโด่ทีเดียว จะยัดเข้าไปในกางเกงก็ยัดไม่ได้ ความพะว้าพะวงเกิดขึ้นอย่างกระทันหันทำให้เขาเกือบทำอะไรไม่ถูก ลงท้ายก็ออกวิ่งไปทางหลังโรงนาทั้ง ๆ ที่อ้ายท่อนประหลาดอันแข็งทื่อนำหน้าไปอย่างนั้นเอง
ฝ่ายแก้วและดิฉันช่วยกันจัดแจงเสื้อผ้ากิ่งให้เรียบร้อยดังเก่าด้วยความเสียดายเพราะแท้จริงแล้วชายผู้นั้นมิใช่ตั้งใจจะเข้ามาในโรงนาเลยเขาเพียงเดินผ่านไปทางนี้เอง แต่ความหวาดหวั่นต่อเหตุการณ์ตามประสารุ่นหนุ่มรุ่นสาวของเราทำให้เห็นไปเอง เมื่อชายแปลกหน้าผ่านโรงนาไปแล้ว พวกเราก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจและเสียดายเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ตามดิฉันและแก้วคิดว่ากิ่งคงจะเสียดายมากกว่าเราทั้งสองเป็นแน่
ดิฉันขอเล่าถึงครอบครัวใหม่ที่ดิฉันมาอยู่ด้วยนี้ก่อนเพราะมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของดิฉันมาก ครอบครัวนี้มีสองคนผัวเมีย จริง ๆ แล้วอายุค่อนข้างโขอยู่คือร่วมห้าสิบเข้าไปแล้วชื่อนาย จิตและนางมาลี สำหรับนางมาลีผู้ภรรยานั้นแม้ว่าอายุจะกว่าสี่สิบแล้ว แต่รูปร่างหน้าตายังพริ้มเพราเอาการอยู่ เพื่อนสนิทของครอบครัวนี้ชื่อ จาด อายุประมาณสามสิบปี เป็นหนุ่มใหญ่ร่างสมารท์ นายจาดมาเยี่ยมครอบครัวนี้อาทิตย์ละสองสามครั้ง ทุกครั้งดิฉันมักจะถูกใช้ให้ไปทำธุระนอกบ้านถ้าหากนายจาดมาเยี่ยมขณะที่นางมาลีสาวใหญ่เจ้าบ้านอยู่ตามลำพังคนเดียว
เรื่องนี้ดิฉันได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าคงจะต้องมีเหตุการณ์ที่ผิดธรรมดาเกิดขึ้นเป็นแน่ วันหนึ่งดิฉันจึงแอบฟังสองคนเขาคุยกัน จับความได้ว่าคุยกันถึงเรื่องของนายราม โดยที่รามนั้นบ้านอยู่นอกเมืองราว ๘-๙ ไมล์ แกจ้างเด็กหญิงซึ่งอยู่ห่างบ้านแกราว ๒ ไมล์ให้มาช่วยดูแลทำความสะอาดในระหว่างที่ภรรยาของแกไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาล วันหนึ่งรามได้เข้าไปซื้อของต่าง ๆ ในเมืองและเอาเด็กหญิงที่จ้างนั้นไปกับแกด้วย ขากลับแกขับรถห่างจากทางหลวงเข้าไปในที่ลับตาแห่งหนึ่ง แล้วรามก็กระทำชำเราเด็กหญิงผู้นั้น แม่ของเด็กรู้เรื่องเข้าก็แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ กล่าวหาว่ารามกระทำชำเราลูกสาวซึ่งมีอายุเพียงสิบสองปี เวลานี้เรื่องยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน
"ฉันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องข่มขืน" นางจิตกล่าวกับจาด "เด็กมันยอมด้วยล่ะน่า คิดดูซี พากันไปนอนตั้ง ๖ ครั้งแล้วด้วยซ้ำนังแม่จึงได้ไปแจ้งความเพื่อให้นายรามจ่ายทรัพย์ให้แม่เด็กเท่านั้น"
แล้วทั้งสองก็คุยกันเรื่องมีท้อง ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้มี แต่คุยกันเบามากดิฉันจับเค้าความไม่ค่อยได้ จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องค้นคว้าหาความจริงในเรื่องนี้ให้ได้ ไม่ช้าจาดก็กลับไป
วันหนึ่ง จิตและมาลีสองสามีภรรยาเข้าไปในเมืองทั้งคู่และบอกกับดิฉันว่าเย็น ๆ ถึงจะกลับ พอตกตอนสายจาดก็มาหาที่บ้านของดิฉัน ความที่ดิฉันอยากรู้เรื่องท้องไม่ท้องนี่แหละทำให้ดิฉันปดกับจาดว่า ประเดี๋ยวสองผัวเมียก็กลับและเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งคอยสักครู่หนึ่งเถอะ ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องหาโอกาสถามจาดผู้ชำนาญในเรื่องนี้ให้ได้
นายจาดนั่งลงบนเก้าอี้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ดิฉันนั่งลงใกล้ ๆ นั้น พอสักครู่ใหญ่ดิฉันก็เอ่ยขึ้นว่า
"คุณจาดคะ หนูอยากทราบอะไรสักหน่อย คือมนุษย์เราทำอย่างไรจึงจะมีท้องและทำอย่างไรจึงจะไม่มีท้อง เรื่องนี้หนูขบปัญหามานานแล้วคิดไม่ออกเลย อย่าว่าหนูถามไม่เป็นเรื่องนะคะ เพราะหนูก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน หนูอยากทราบจังค่ะ"
จาดมองดิฉันนิ่งอยู่สักครู่ ดูแกทึ่งในคำถามของดิฉันมาก ดิฉันก็เลยพูดต่อไปว่า
"หนูรู้แต่เรื่องนอนด้วยเท่านั้นแหละค่ะ แต่ไม่รู้ถึงเรื่องมีท้อง"
จาดจับแขนดิฉันอย่างเอ็นดู ดึงตัวดิฉันเข้ามาจนติดเก้าอี้ที่แกนั่งอยู่แล้วพูดว่า
"หนูรู้เรื่องว่านอนด้วยหรือ เขาทำอย่างไรถึงเรียกว่านอนกัน"
ดิฉันอึกอักอยู่สักครู่จนจาดถามอีกครั้ง ลงท้ายดิฉันเลยต้องเล่าถึงเรื่องกิ่งและแก้วเพื่อนสาวของดิฉันให้แกฟังและกล่าวต่อไปว่า ดิฉันได้ยินคำพูดที่แกคุยกับมาลีทุกอย่างด้วย...
จาดนิ่งไม่กล่าวอะไรอีก แกมองดูเหมือนกับดิฉันเป็นเด็กรุ่นที่ซุกซนเอาการแต่สายตาของแกก็นับว่าเต็มไปด้วยความปราณีในความที่ดิฉันอยากรู้อยู่ไม่น้อย ในที่สุดจาดก็บอกว่า
"เอาเถอะ ฉันจะบอกให้หนูรู้เป็นเลา ๆ และนี่เป็นการเริ่มต้นบทเรียนบทแรกก่อนนะ ยังไม่ถึงขนาดนอน" พลางจาดก็เอื้อมมือมาโอบร่างดิฉันเข้าไปเกือบชิดและใช้มือคลำที่ทรวงอกดิฉันแล้วล้วงเข้ามาในกระโปรง ดิฉันไม่ป้องกันและพยายามเป็นนักเรียนที่ดีของครูหนุ่มใหญ่ผู้ชำนิชำนาญ จาดกลับหยุดมือเสียและถามว่า
"สักประเดี๋ยวจิตและมาลีก็กลับแล้วไม่ใช่รึ คงไม่มีเวลากระมัง"
"หนูหลอกให้หรอกค่ะ จนกว่าจะถึงเวลาเย็นแกถึงจะกลับ" ดิฉันตอบพลางหัวร่อเสียงใสที่ต้มเอาจาดจนเชื่อ ในที่สุดแกก็ตกลงอยู่เป็นครูของดิฉันต่อไปและยินดีที่จะสอนดิฉันอย่างเต็มใจ พลางสั่งให้ดิฉันถอดกางเกงในออก ดิฉันปลดมันออกทันที