คืนนั้นดิฉันตื่นขึ้นมากลางดึกรู้สึกหิวแสบท้องไปหมด ดิฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่มาที่นี่ “คุณรุ้ง คุณรุ้งคะ” เสียงกระซิบดังมาจากลูกกรงหน้าห้อง “ใครน่ะ ต้องการอะไร” ดิฉันถามเบาๆ พยายามเพ่งมองทะลุช่องลูกกรงออกไป แต่ข้างนอกมืดจนมองอะไรไม่เห็น ดิฉันเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ อย่างระมัดระวัง ดิฉันไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่ อาจมีใครเล่นสกปรกกับดิฉัน “พี่แก้วเอง พี่แก้วเป็นผู้คุมที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณรุ้งไง” หน้าของเธอโผล่มาให้เห็นทางช่องลูกกรง “มีธุระอะไร” ดิฉันถามอย่างระแวง เธอหยิบยื่นของชิ้นหนึ่งให้ มันมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย และห่อไว้ด้วยกระดาษ
“พี่เอาขนมปังมาให้ คุณรุ้งคงจะหิว ...” “ต้องการอะไรจากรุ้งรึเปล่า” ดิฉันไม่ยอมรับห่อที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น เนื่องจากยังระแวง “อย่าถามพี่อย่างนั้นซิคุณรุ้ง พี่ชอบคุณรุ้ง และสงสารคุณรุ้ง กินซะเถอะนะอย่าระแวงพี่เลย” ดิฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเอง คิดไม่ถึงว่าดิฉันจะได้พบน้ำใจในที่ๆดิฉันสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด ดิฉันรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา สะอื้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว “อย่าร้องไห้ซิคุณรุ้ง นิ่งนะคนดี แล้วทานขนมปังซะ” เธอปลอบโยนดิฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ซึ่งยิ่งทำให้ดิฉันน้ำตาไหลพรากลงมาอีก “พี่แก้วเรียกรุ้งว่ารุ้งเถอะ อย่าเรียกคุณเลย” ดิฉันร้องไห้ รับห่อขนมปังมาจากมือหยาบกระด้างนั้น พลางแก้ห่อออก กลิ่นของมันชวนกินที่สุดในเวลานั้น ดิฉันอ้าปากกัดมันทันที มันเป็นขนมปังที่อร่อยที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยกินมา “รุ้งอย่าคิดมากนะ รุ้งน่ะยังโชคดีกว่านักโทษคนอื่นเยอะเลย นักโทษทั่วไปน่ะ เขานอนรวมกันในห้องรวมเบียดเสียดกันขนาดทีเรียกว่าแทบจะไม่มีที่พลิกตัวด้วยซ้ำ ห้องของรุ้งเนี่ยสบายที่สุดเลยนะ รู้มั๊ย” “ทำไมเขาถึงให้รุ้งนอนห้องนี้ ล่ะพี่แก้ว” ดิฉันยังงุนงง บอกตามตรงว่าสิ่งที่ดิฉันเจอมาทั้งวันนั้นเรียกว่าโชคดีไม่ได้เลย “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พัสดีบอกกับผู้คุมทั่วไปว่า รุ้งมีอาการป่วยทางจิต ต้องแยกออกมาขังเพื่อรอตรวจสอบจากคณะแพทย์ก่อน ถ้าไม่มีปัญหาจึงจะปล่อยตัวให้ไปอยู่รวมกับนักโทษอื่น ..รุ้ง เอ้อ พี่ถามตามตรง รุ้งเคยเป็น...”เธออึกๆอักๆ ดิฉันอยากจะหัวเราะให้ลั่น พัสดีมันเอาเหตุนี้มาอ้างเพื่อจะแยกดิฉันออกมา มันคงหวังจะที่จะจัดการอะไรได้ตามใจชอบ ไอ้สารเลวเอ๊ย! ดิฉันด่าเขาในใจ แต่อีกใจก็คิดว่าดีเหมือนกัน ที่ไม่ต้องไปเบียดสียดแย่งที่กับนักโทษคนอื่น แต่มันก็ต้องแลกกับการถูกลอบทำร้าย การอยู่ตามลำพังในที่แบบนี้มันง่ายต่อการควบคุมและจัดการ หากพัศดีต้องการทำอะไรรุนแรง ดิฉันสลัดเรื่องนี้ออกจากหัว เพราะมีสิ่งอื่นที่ดิฉันสนใจมากกว่า “พี่แก้ว พี่แก้วช่วยอะไรรุ้งซักอย่างได้มั๊ย” “เรื่องอะไรจ๊ะรุ้ง” “รุ้งมีเพื่อนถูกขังอยู่ในส่วนของนักโทษชาย เขาชื่อ วิชิต สุริยตระกูล
รุ้งอยากรู้ข่าวคราวของเขา” “ไม่มีปัญหารุ้ง แฟนพี่ทำงานอยู่ที่นั่น เดี๋ยวพี่จะสอบถามให้ แล้วรุ้งอย่าบอกใครนะว่าพี่เอาขนมปังมาให้ มันผิดกฏที่นี่ นอนซะ พี่ไปแล้ว” เธอทำท่าจะไปแต่แล้วชะงักหันมาพูดต่อ “แล้วรุ้งอย่าไปยั่วโมโหอีแตนมันนะ” “ใครคะแตน” ดิฉันถามอย่างงงๆ “ก็ผู้คุมคนที่ตุ๊ยท้องรุ้งน่ะ มันมีอิทธิพลอยู่ในนี้ ผู้คุมคนอื่นๆยังต้องยอมมันเลย” “ไม่ต้องห่วงค่ะพี่แก้ว รุ้งจะพยายามไม่ไปขัดใจมัน” ดิฉันบอก เธอจึงยอมเดินจากไป ดิฉันกลับมาล้มตัวลงนอนกับเตียง รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ไม่เพียงแต่เพิ่งจะได้เพื่อนใหม่ในที่นี้เท่านั้น แต่ยังจะได้รู้ข่าวคราวของตั้มอีกด้วย ดิฉันใจเต้นแรงก่อนจะนอนหลับไปในที่สุด ....... ตอนเช้า ดิฉันลุกขึ้นจากเตียง ก้าวกระโผลกระเผลกไปถึงหน้าต่าง อากาศภายนอกดูเงียบเหงา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสายลมเอื่อยๆพัดมา ซึ่งมีผลทำให้ กิ่งไม้เหียวแห้งที่มีใบหรอมแหรมแก่วงไปมาอย่างเซื่องซึม ก่อนที่จะตัดสินใจสลัดใบแห้งให้ปลิวคว๊างออกจากต้นลงไปสองสามใบ มันปลิวพลิ้วร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น ดิฉันหมุนตัวกลับไปที่ประตู แล้วตะโกนออกมาด้วยความโกรธอย่างรุนแรง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเพราะแทนที่เสียงของดิฉันจะเป็นเสียงกรีดร้องอย่างที่ตั้งใจ มันกลับดังอย่างแหบแห้งอยู่ในลำคอ “เฮ้ ไอ้พวกข้างนอกนั่น แกจะให้อาหารสัตว์กี่โมงวะ” ดิฉันตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่รู้สึกอ่อนแรงด้วยความหิว ขนมปังของพี่แก้วไม่เพียงพอที่จะทำให้ดิฉันทรงกายได้อย่างมั่นคง ดิฉันรู้สึกหน้ามืดและเซกลับไปนอนบนเตียง ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย เสียงกุญแจไขประตูดังขึ้น ผู้คุมหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งสั่งให้ดิฉันเดินออกไปข้างนอก ที่แขนของเธอมีผ้าคาดซึ่งบอกให้รู้ว่าเธอเป็นคนดูแลโซนนี้ พยาบาลคนเดิมที่ชื่อสุรีพร ยืนรออยู่ข้างนอก เธอมองหน้าดิฉัน
ดิฉันก็ทำหน้ายั่วโมโหเธอ “ฟังทางนี้นะคุณรุ้ง” เธอพูด “ที่นี่คือตึกคนไข้เดี่ยว คุณจะถูกขังอยู่ที่นี่จนถึงเวลาตรวจร่างกายกับคณะแพทย์ หลังจากนั้นถ้าไม่มีปัญหา คุณจะถูกส่งกลับไปยังห้องขังรวมกับนักโทษปกติ ถึงตอนนั้นคุณจะอาละวาดยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นคุณต้องทำตัวให้อยู่ในกฎระเบียบของที่นี่ อย่ามีปัญหา ถ้าคุณแส่หาเรื่อง คุณก็ต้องรับผลจาการกระทำของคุณเอง” เธอหยุดพูด เมื่อเห็นดิฉันนิ่งเงียบจึงพูดต่อ “คุณจะถูกพาไปส้วมวันละสี่ครั้ง หลังกินข้าวและก่อนดับไฟ คุณต้องทำธุระส่วนตัวตามเวลาเท่านั้น ฉันไม่อยากให้คุณมาทำเลอะเทอะในห้องขัง ที่นี่เรามีคนน้อยและไม่อยากเช็ดของเสียให้ใคร” “นี่คือ คุณเพ็ญ ผู้ดูแลของโซนนี้ คุณตามเธอไปห้องส้วมได้” เพ็ญพาดิฉันไปเข้าห้องส้วม แล้วพากลับมายังห้อง ในที่สุดเธอก็นำอาหารมาให้ มันเป็นข้าวแกงรสชาติห่วยๆที่เหม็นสตึ แล้วก็แก้วน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำไว้ครึ่งเดียว ถึงรสชาติข้าวแกงมันจะห่วยสิ้นดี แต่ดิฉันก็กินมันจนหมด ปริมาณอันน้อยนิดของมันไม่ได้ช่วยบรรเทาความหิวเลย แถมกลับกระตุ้นให้อยากกินมากยิ่งขึ้น
“กลับมาก่อน” ฉันกรีดร้อง “กลับมา จะกินอีก” สุรีพรทะลึ่งพรวดมาที่กรงขัง “ฟังนะ” เธอพูด “แกไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆทั้งสิ้น แกต้องกินเหมือนและเท่ากันกับคนอื่น กลับไปที่เตียงแล้วอย่าแหกปากอีก”
ดิฉันจ้องหน้าเธอ ดิฉันรู้ว่าเธอโกรธและแค้นที่ดิฉันเขียนข้อความด่าเธอในหนังสือแฟชั่นเล่มนั้น ดิฉันขว้างแก้วพลาสติกลงพื้น มันกลิ้งหลุนๆไปข้างนอก แล้วดิฉันก็เดินกลับไปที่เตียงอย่างสง่า
“แกออกมานี่ แล้วเก็บของๆแกกลับไป” เธอแหกปาก ซึ่งดิฉันต้องยอมรับว่าเวลาที่เธอกรีดร้องนี่ เสียงดังยิ่งกว่าดิฉันหลายเท่า “เก็บมันไปเดี่ยวนี้” ฉันยิ้มอย่างเย้ยหยัน ทำเสียงล้อเลียน “โอ คุณพยาบาลขา ดิฉันป่วยหนักคุณไม่เห็นเหรอคะ” เธอจ้ำพรวดๆเข้ามา แล้วเหวี่ยงดิฉันออกไปที่พื่น แล้วชี้มือไปที่แก้วน้ำ “เก็บขึ้นมาเดี๋ยวนี้” เธอชี้มือไป “เก็บขึ้นมา” เธอตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าแดง น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความโกรธ “ถ้าทำแค่นี้แล้วพี่สาวมีความสุขได้ละก็ จะเป็นไรไปเล่า ฉันจะกล้าขัดใจพี่สาวรึ” ดิฉันก้มลงคลานสี่ตีนไปที่ห้องโถง เก็บแก้วน้ำ แล้วคลานกลับมาหาเธอ แลบลิ้นเลียมุมปาก เธอกระชากผมดิฉันแล้วเหวี่ยงจนหมอบ ดิฉันตะโกนด่า “อีสารเลว มึงคิดว่ามึงเป็นใครวะ” “กูเป็นนายมึงไง อีรุ้ง จำใส่หัวมึงไว้ เพื่อผลดีแก่ตัวมึงเอง” เธอคำรามออกมาจากปากสวยๆนั้น ในที่สุดดิฉันยั่วให้เธอสติแตกจนได้ เธอหันไปสั่งเพ็ญ “จับอีนี่เข้าไปไว้ในห้องตามเดิม แล้ววันนี้ไม่ต้องให้อาหารมันอีก” เธอสั่งแล้วเดินเชิดหน้าจากไป ....... คืนนั้นดิฉันนอนขดตัวด้วยความหิว จนกระทั่งตอนค่ำ เสียงเรียกของพี่แก้วก็ดังขึ้น “รุ้ง พี่มาแล้ว” ดิฉันทะลึ่งพรวดไปหาเธออย่างดีใจ เธอส่งห่อขนมปังให้ ดิฉันรีบหยิบขึ้นมากินอย่างตะกราม “รุ้ง ที่รุ้งทำวันนี้ไม่ดีเลย” เธอตำหนิ “พี่แก้ว รุ้งทนไม่ไหว เธอรังแกรุ้งก่อน รุ้งจะบ้าตายอยู่แล้ว” “รุ้งจะต้องอดทน อย่าทำอย่างนี้อีก รุ้งไม่มีวันชนะ เมื่อไหร่จะเข้าใจซะที” เธอถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ดิฉันไม่สนซักนิด ดิฉันถามคำถามสำคัญที่สุด คำถามที่เฝ้ารอคำตอบมาทั้งวัน
“พี่แก้ว เรื่องของตั้มว่าไงคะ ได้เรื่องรึยัง” “ได้แล้วหละ รุ้งสงบใจไว้ก่อนนะ ฟังดีๆ แล้วเตรียมใจไว้ด้วย” น้ำเสียงของเธอเป็นกังวล จนดิฉันใจเต้นระทึก “เขาถูกเพื่อนนักโทษรุมทำร้าย ตอนนื้ป่วยหนักนอนอยู่ในห้องพยาบาล กระดูกซี่โครงเขาหักไปสา..รุ้ง!” ดิฉันตกใจจนช็อคได้ยินเสียงเรียกสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติไป ....... ดิฉันตื่นขึ้นมาตอนดึก เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาทำให้ดิฉันอ่อนล้า ดิฉันอ่อนแรงลงไปทุกที ข่าวร้ายของตั้มเหมือนกับหมัดฮุคที่ฟาดเปรี้ยงลงที่ช่องท้องของดิฉัน มันทำให้ดิฉันอ่อนแอจนแทบหมดกำลังใจจะสู้ต่อ แต่ดิฉันก็รวบรวมกำลังใจไว้ ดิฉันจะไม่ยอมจำนนคำขู่เข็ญใดๆ ดิฉันจะยอมแพ้ไม่ได้ นึกถึงความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของตัวเอง ดิฉันจะสู้จนกว่าจะหมดลมหายใจ คิดหรือว่าแค่นี้จะปราบดิฉันลงได้! คิดหรือว่าแค่นี้จะทำให้ดิฉันยอมแพ้! ไม่มีวันเสียละ! ข่าวร้ายของตั้มทำให้ดิฉันไม่อาจข่มตาหลับได้ลง ดิฉันเดินไปเดินมาเหมือนคนบ้า แล้วก็ฉีกเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเสียสติ ผ้านั้นบางและยุ่ยจนดิฉันฉีกมันได้อย่างง่ายๆ ดิฉันฉีกมันเป็นชิ้นๆแล้วโปรยลงบนพื้น “แกจะไม่มีวันชนะ ไม่มีวัน” ....... ตอนเช้าที่ดิฉันตื่นขึ้นมา จึงรู้สึกว่าตัวเองเปลือยเปล่าล่อนจ้อนไปทั้งร่าง สติที่กลับคืนมาทำให้ดิฉันรู้สึกอับอาย ดิฉันเอาผ้าปูที่นอนห่อตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงเพื่อรออาหาร พอผู้คุมเข็นรถมาดิฉันจึงรับเอาข้าวมากิน มันยังคงเป็นข้าวแกงที่รักษารสชาติสตึและเหม็นหืนไว้ได้เหมือนเดิม ดิฉันขอเสื้อกับผู้ดูแลแต่เธอก็เพียงแค่มองฉันอย่างซึมเซาไม่ได้สนใจอะไร ดิฉันกลับมาที่ห้องพักคอยจนถึงเวลาเข้าส้วมจึงเอาผ้าปูที่นอนมาห่อตัวอีกครั้ง แต่พอเข้าไปในส้วมผู้คุมคนหนึ่งก็ดึงผ้าปูออกไป ดิฉันขอเสื้อใส่อย่างสุภาพ แต่เธอกลับหัวเราะคิก และมองร่างดิฉันอย่างอยากรู้อยากเห็น
ในที่สุดเมื่อดิฉันทำธุระเสร็จ ผู้คุมก็มาปลดสายรัด ดึงดิฉันลุกขึ้นจากโถ ดิฉันวิงวอนขอเสื้อ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดดิฉันก็หมดความอดทนอีกครั้ง เริ่มตะโกนด่า “นังสารเลว ถ้าไม่ให้เสื้อก็เอาผ้าปูที่นอนมาซิวะ มันเป็นของกูนะโว๊ย เอาคืนมา” ผู้คุมหญิงร่างใหญ่คนหนึ่งเอามือกระชากร่างเปลือยของดิฉันออกจากห้องน้ำ จังหวะนั้นเองดิฉันก็เห็นพัศดีเดินเข้ามา ดิฉันใจหายวาบรีบทรุดตัวนั่งยองๆ พยายามเอามือปิดบังร่างเปล่าเปล่อยเอาไว้อย่างยากเย็น พัศดีเดินมาหยุดที่หน้าดิฉัน “เปลี่ยนใจรึยังคุณรุ้ง จะฝืนทนทรมานไปทำไม คุณมีโอกาสเลือกความสะดวกสบายที่นักโทษคนอื่นไม่มีโอกาสเลือก”เขาพูดยิ้มๆ สายตากวาดมองไปมาตามร่างเปล่าเปลือยของดิฉันเหมือนจะยั่วให้เจ็บใจ “ท่านคงสนุกที่ได้ทำอย่างนี้ใช่มั๊ย” ดิฉันกัดฟันกรอดๆด้วยความแค้นใจ “ใช่ ผมสนุก คุณดื้อกว่าที่ผมคิด แต่รู้มั๊ยว่าคุณยิ่งดื้อผมยิ่งชอบ
ที่นี่มันน่าเบื่อมานานแล้วจนกระทั่งคุณเข้ามานี่แหละ” “ท่านไม่มีวันชนะ” ดิฉันคำราม “แล้วเราจะได้รู้กัน” เขาผิวปากอย่างมีความสุขแล้วหันกายเดินจากไป