แนะนำ
เรื่องนี้เขียนมาจากความอยากเขียนแม้จะมีความรู้ด้านญี่ปุ่นแบบงูๆ ปลาๆ มากๆ อ้างอิงจากที่เคยอ่านผ่านตามาบ้างผสมจินตนาการล้วนๆ ใครที่มีความรู้ในเรื่องญี่ปุ่นก็เข้ามาติติงได้ตามสะดวก
-----------------------------------------
รักแรกของผมเป็นการแอบรัก เรื่องราวที่ผ่านมาเกือบสิบปีได้แล้ว แต่เมื่อหวนระลึกนึกถึงขึ้นมาเมื่อไรก็รู้สึกเศร้าเสียทุกครั้งในชะตากรรมที่เกิดขึ้นของหญิงสาวที่เคยแอบรัก
ผมชื่อ เคอิโงะ เมื่อสิบปีก่อนคือเด็กนักเรียนขึ้น ม.ปลาย ในโตเกียวธรรมดาๆ พ่อผมสำมะเลเทเมาและเลิกรากับแม่ไปตั้งแต่ผมยังเด็ก ทางบ้านยากจนมาก ต้องช่วยทำงานพิเศษอยู่เสมอ แต่ผมกลับโชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทั้งด้านการเรียน และกิจกรรมต่างๆ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเพราะผลการเรียนของผมเอง แต่ค่าเทอมที่แพงซึ่งแน่นอนว่าแม่และผมไม่มีปัญญาจ่ายเลย ได้รับการอุปถัมภ์จากหน้าที่ของแม่ที่ทำงานแม่บ้านประจำโรงเรียน
เรียนไปไม่นานทุกคนก็รู้เทือกเถาเหล่ากอของผมหมด เพื่อนที่พร้อมจะกลั่นแกล้งจึงดาหน้าเข้ามาอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นกลุ่มตัวตลกประจำห้องที่ต้องทำให้ขายหน้า และโดนข่มเหงเป็นเครื่องซ้อมมือพวกขาใหญ่มีเงินในห้อง ดีแค่ว่าไม่ต้องโดนไถเงิน เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมหาให้ไม่ได้
สิ่งเดียวที่เหมือนน้ำทิพย์ชะโลมใจก็คือ ฮิคาริ สาวสวยเพื่อร่วมชั้นที่เป็นดาวประจำโรงเรียน สถานะของผมนั้นทำได้แค่แอบมอง และรู้ว่าเธอไม่เคยเหลียวแลผมเลยสักนิด ลำพังแค่ว่าโชคดีได้นั่งโต๊ะใกล้ๆ เธอ และไม่เคยพูดจาดูถูกอะไรผมเลย บ่อยครั้งยังทักทายอย่างเป็นกันเองในฐานะเพื่อนข้างโต๊ะ ก็นับเป็นวาสนาของไอ้เคอิโงะคนนี้แล้ว
ฮิคาริ เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นญี่ปุ่น แม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน พ่อของเธอทำงานเป็นถึงระดับหนึ่งในผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ FTV ของที่นี่ นอกจากผิวพรรณจะขาวนวลได้รับการบำรุงมาอย่างดี ใบหน้าเรียวที่ได้รูป ฟันขาวสวยเป็นระเบียบ รูปร่างได้สัดส่วนแม้จะปกปิดอย่างมิดชิดของชุดนักเรียนของโรงเรียน เรียกได้ว่าหน้าตาคมคายกว่าเด็กสาวญี่ปุ่นวัยเดียวกันที่คนหน้าตาดีหน่อยจะออกไปในทางน่ารักเป็นเด็กๆ เสียมากกว่า
จะว่าไปหน้าตาระดับฮิคาริ คงไปเป็นดาราได้สบาย เพื่อนผู้หญิงในห้องคนหนึ่งถึงกับเคยเปิดยูทูปจากโทรศัพท์มือถือละครไทยเรื่องหนึ่ง ดาราสาวในเรื่องซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นดาราชื่อดังของที่นั่น พวกเธอถึงกับอุทานว่าหน้าตาละม้ายฮิคาริเลยทีเดียว บางคนก็เคยถามฮิคาริว่าทำไมถึงไม่ลองไปแคสติ้งเป็นดารานักแสดงบ้างล่ะ ? ไม่คิดจะเข้าวงการบันเทิงอะไรบ้างหรือ ?
เธอให้คำตอบอย่างเรียบๆ ว่า “พ่อเราไม่อยากให้เราเข้าวงการบันเทิงน่ะ พ่อบอกว่ามันมีด้านมืดที่ไม่ได้สวยงามเหมือนฉากหน้าอย่างที่เราเห็น”
คาโตะเพื่อนสนิทไม่กี่คนของผมในห้องซึ่งพ่อมันทำงานเป็นฝ่ายคุมคิวรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ FTV ยังเคยบอกเล่ากิตติศัพท์ของพ่อฮิคาริเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้ฟังว่า วันหนึ่งขณะที่ฮิคาริกำลังมานั่งรอพ่อที่สถานีเพื่อไปทานข้าวมื้อค่ำ มีผู้จัดการบริษัทแมวมองเล็กๆ คนหนึ่งท่าทางหื่นๆ มากอร่อก้อติกลูกสาวของเธอ ทาบทามชวนไปถ่ายแบบแฟชั่น
ฮิคาริแม้จะเป็นคนสุภาพ แต่ก็มีความทรนงเพราะความเป็นลูกคุณหนูที่ถูกอบรมเลี้ยงดูให้ระวังคนที่ต่างสถานะจะมาตีสนิท และเธอก็ไม่ไว้ใจคนเหล่านี้เลย จึงได้แต่บอกปัดอย่างไม่ไยดี
ทันทีที่พ่อฮิคาริมาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวถึงกลับโกรธจัด ตวาดใส่ไล่ออกจากสถานีอย่างไม่ไว้หน้าใคร ให้ รปภ.เชิญผู้จัดการและลูกน้องเหล่านั้นออกไป พร้อมตะโกนไล่หลังด้วยอารมณ์โกรธจัดว่า
“อย่าหวังว่าจะได้มาง้อของาน หรือทำรายการอะไรที่นี่อีก สถานีเราไม่ต้อนรับบริษัทกระจอกๆ แบบพวกคุณ”
“หึ นึกว่าตัวเองเป็นใคร ไม่เจียม ไม่รู้จักฐานะตนเองจริงๆ” พร้อมกำชับฮิคาริ “ห่างจากคนพวกนี้ไว้นะลูก”
เล่นเอาผู้จัดการร่างท้วมคนนั้นก้มหน้างุดๆ หน้าแดงด้วยความโกรธ อับอายจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่พอมานึกตอนนี้แล้วจะว่าไปพ่อของเธอก็พลาดมหันต์ทีเดียวที่ไม่หาโอกาสให้คนสวยอย่างฮิคาริเข้าวงการบันเทิงไปเสีย ความที่ทำแต่งานจนไม่มีเวลาดูแลครอบครัว แม่ของเธอเองก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเลี้ยงดูฮิคาริอย่างตามใจทุกอย่าง เธออยากได้อะไรก็ต้องได้หมด แค่โชคดีที่อยู่ในสังคมที่ดีอย่างคลับเฮาส์ของคนมีเงิน ได้ศึกษาอบรมบ่มนิสัยอย่างถึงพร้อม ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมนั่นเอง เป็นเกราะคุ้มกันเธอกลายๆ
ช่วงปีสุดท้ายของ ม.ปลายนั้นเอง เกิดเหตุการณ์พลิกผันกับชีวิตผมอย่างมาก เมื่อวันหนึ่งแม่ล้มป่วย เมื่อไปโรงพยาบาลก็ตรวจพบว่าแม่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่สามแล้ว ช่วงที่เข้ารับการรักษา ผมตัดสินใจลาเรียน ทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำ ตั้งแต่ล้างจานในร้านอาหาร จัดของในร้านสะดวกซื้อ ตอนเย็นก็มาเฝ้าไข้แม่ และตอนค่ำก็ไปดูแลร้านเกมเซ็นเตอร์ และปาจิงโกะ
สุดท้าย...แม่ผมก็จากไป เช่นเดียวกับชีวิต ม.ปลายที่ผมต้องออกตามไปด้วย ต้องรีบหาเงินมาใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินกว่ากำลังและสติปัญญาของผม
ตอนนั้นบางครั้งผมก็นึกถึงใบหน้าของฮิคาริ หญิงสาวในอุดมคติเป็นแสงสว่างให้ผมยังพอมีฝันที่แสนเพ้อเจ้อบ้างเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ตัวเอง ทั้งที่จากที่เคยรู้จักจะเป็นเพียงเสียงที่พูดเพียงว่า
“อรุณสวัสดิ์เคอิโงะคุง มาเร็วกว่าเพื่อนเลยนะวันนี้”
“เคอิโงะคุง รายงานกลุ่มส่วนนี้เธอเอาไปทำนะ”
“อ้าว วันนี้หน้าไปโดนอะไรมาอีกล่ะ หกล้มเหรอ”
เป็นความสุขช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังดี
อย่างไรก็ตามระหว่างที่ผมกำลังวิ่งหาเงินมาชดใช้หนี้นั้นเอง และจำต้องมองหาเงินกู้นอกระบบจากแกงค์ยากูซ่า ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นหรอก แต่คือหัวหน้าผมที่เป็นเจ้าของร้านเกมเซ็นเตอร์ และปาจิงโกะย่านชิบูย่านั่นเอง ...ตอนนั้นผมคิดอะไรมากไม่ได้ คิดแต่ว่าจะต้องเป็นทาสแรงงานมันหลายปีก็ต้องทำ เพราะไหนจะต้องหาเงินจ่ายค่าพยาบาล ค่าทำศพ และค่างานศพเล็กๆ อีกสารพัด
พอทราบเรื่องเท่านั้น หัวหน้าผม คุณทาเคชิกลับบอกว่า “เฮ้ย ! ไอ้หนู สำหรับเอ็ง ข้าเห็นว่าหน่วยก้านเอ็งดี เงินน่ะไม่ได้มากมายอะไรถือว่าให้ยืม ข้าจะจดบัญชีส่วนตัวไว้ แล้วก็ค่อยๆ ทยอยจ่ายเป็นเดือนซะ แต่ข้ามีเงื่อนไขว่าเอ็งต้องทำงานใหม่เพิ่มอีกงานนะ เขากำลังหาคนอยู่”
ผมที่ตอนนั้นร้อนเงิน และไม่ได้เรียน หมดอนาคตไปมากแล้ว รีบตอบรับทันที โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต
เช่นเดียวกับเรื่องราวของฮิคาริ ที่ราวกับชะตากรรมล้อเล่นให้ผมกับเธอเสมือนเส้นขนานที่บังเอิญเกิดหักเหกันเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดผ่านและจากกันไปอย่างไม่มีหวนกลับ
“อ๊ะๆๆๆ เสียวจังค่ะ ซี๊ด อูววววว” สาววัยรุ่นในชุดนักเรียน ม.ปลายที่ถูกถลกขึ้นจนเกือบหลุด กระโปรงถูกกองที่ข้อเท้าด้านหนึ่ง เธอส่งเสียงร้องเป็นระยะหลังจากปฏิบัติกามกิจอย่างต่อเนื่องในห้องพักเก่าๆ มืดทึมแห่งหนึ่ง
“อ๊ายยยยๆๆๆ จะถึงแล้ว อ๊ะๆๆๆๆ อ๊า” ไม่ใช่แค่ร้องอย่างเดียว แต่ยังเด้งก้นรับชายที่ร่วมเสพสม ขณะที่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงเหนื่อยหอบ เป็นสัญญาณบางอย่าง
“อ๊ากกกก ออกแล้ว ออกแล้ว อ๊าซซซซ” ชายคนดังกล่าวรีบลุกออกจากการตระกองกอดรัดก่อนหน้า จับควยประชิดใบหน้าหญิงสาวราดรดน้ำกามจนเลอะไปทั่ว หญิงสาวหลับตาปี๋กึ่งหวาดกลัวกึ่งเสียวไส้ ก่อนฝ่ายชายจะจับศีรษะให้ช่วยดูดทำความสะอาด
หญิงสาวใบหน้าเลอะน้ำกามทั่วแก้ม จมูก มองไปที่อีกฝ่ายใบหน้าเหยเกจากควยที่คับปาก แต่สายตาเปี่ยมความหฤหรรษ์ ก่อนจะถอนมันออกมา และก้มนอนหลับตาบนฟูกในห้องอย่างเหนื่อยอ่อน
ภาพค่อยๆ เคลื่อนออกมามองเห็นเธอนอนระทดระทวยอยู่ตรงนั้น
---
“คัท ! โอเค วันนี้พอแค่นี้ เสร็จไปอีกชิ้น ขอบคุณทุกคนมากครับ”
4 เดือนมาแล้วที่ผมทำงานใหม่ที่รุ่นพี่ทาเคชิเป็นคนหาให้ในตำแหน่งพนักงานทั่วไปประจำกองถ่ายของหนังโป๊ ที่ย่อกันว่า AV(Adult Video) ปี 2006 ที่ผมได้ไปทำอยู่นั้นเป็นปีที่วงการหนังโป๊ที่นี่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เกิดรูปแบบหนังที่หลากหลาย รวมถึงช่องทางจำหน่าย หนังที่เพิ่งถ่ายไปสักครู่เป็นงานที่ถ่ายทำในสไตล์ POV หรือมุมมองบุคคลที่ 1 เห็นแต่เพียงนักแสดงหญิง ไม่เห็นนักแสดงชาย ของค่ายเล็กๆ ไม่มีชื่อที่เน้นเอานักแสดงหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้มีการขัดสีฉวีวรรณอะไรมากนักมาขาย
งานของผมเริ่มแต่เช้าจดเย็น ทำทั้งยกน้ำร้อนน้ำชาในห้องแต่งหน้า ซื้อข้าวกล่อง ยกรีเฟล็คในการถ่ายทำ บ้างก็ไปตีสเลท ถ้าช้าหน่อยก็เลิกค่ำ ตกดึกก็ไปคุมร้านเกมเซ็นเตอร์กับปาจิงโกะ ต่อ รายได้ดีกว่างานร้านสะดวกซื้อพอสมควร เพราะเอาเข้าจริงอาชีพสายนี้คนปกติทั่วไปจะไม่ค่อยมาทำ แม้จะเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายในญี่ปุ่น เพราะสุดท้ายก็มักจะเกี่ยวข้องกับคนที่ถูกมองว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างยากูซ่า และธุรกิจมืดอื่นๆ ที่ผิดอยู่ดี
ทำได้สักพักรุ่นพี่ยังให้โอกาสผมไปฝึกขับรถกับ ชินโง เพื่อนของแกที่มีตำแหน่งผู้จัดการบริษัทโปรดักชั่นแห่งนั้น เพื่อจะได้ขับรถไปส่งของ ไปรับ-ส่งคนต่างๆ ในการถ่ายทำ จนเดือนก่อนนี้นี่เองผมก็ได้โอกาสทำงานขับรถเพิ่ม ได้เงินค่าจ้างมากขึ้นอีก...แล้วผมก็มาได้แฟนครั้งแรกจากการขับรถนี่เอง จะเรียกว่าแฟนก็ไม่ถูก เธอก็เป็นนักแสดงเอวีที่เริ่มไต่เต้าจากนักแสดงสมัครเล่น ขับรถไปแล้วคุยกันถูกคอตามประสาคนวัยไล่เลี่ยกัน เหงาทั้งคู่ สุดท้ายก็จบที่ห้องพักผมเมื่อเดือนนึงผ่านไป
จากเดิมที่ผมไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย ครั้งแรกถึงกับนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ แต่นานวันเข้าก็เริ่มเก่งเรื่องบนเตียงจนทำให้เธอคนนี้ร้องระงมครวญครางได้เหมือนกัน เนื่องจากฝ่ายผู้หญิงไม่ได้เหนียมอายเรื่องพวกนี้ ทั้งบอกทั้งแนะเชิญชวนจุดกระสันต์ต่างๆ อย่างเปิดเผย
ชีวิตเธอที่เข้ามาวงการนี้ก็เป็นเด็ก ม.ต้นจากต่างจังหวัดที่จบมาแล้วก็เข้ามาหางานในโตเกียว แต่สุดท้ายเพราะความอยากมีเงิน มีข้าวของดีๆ ใช้ก็เลยหันเหมาเลือกเส้นทางนี้ พร้อมกับทำงานรับจ้างอื่นๆ ไปด้วย ไม่ต่างกับพื้นเพของนักแสดงเอวีอีกหลายๆ คนที่รุ่นพี่ทาเคชิเล่าให้ฟัง
มาย้อนรำลึกถึงตอนนี้ก็นับว่าน่าเศร้า เพราะผ่านมาไม่กี่ปีดีดัก พอเลิกกันผมก็ลืมชื่อเธอซะแล้ว เพราะคบกันแบบวูบวาบมีเซ็กส์กันอย่างเดียว ผ่านไปแค่สองเดือน เธอก็ทนสภาพจนๆ ของผมไม่ได้ ตอนนั้นผมก็โวยวายพอสมควรเพราะเหมือนโดนดูถูกกลาย ๆ พอเวลาอยู่ในบริษัทถ้ามีโอกาสพบหน้ากันก็ทำเหมือนไม่รู้จักกัน
ระหว่างอารมณ์ที่เหมือนโดนทิ้งนั้นเอง ผมก็บังเอิญได้เจอคาโตะ เพื่อนสนิทสมัย ม.ปลายอีกครั้งตอนขับรถไปส่งคนที่ทำงาน มันเป็นคนเดียวที่พอจะรู้บ้างว่าทำไมผมถึงออกจากโรงเรียน แต่ก็ขาดการติดต่อไปเพราะผมยุ่งอยู่ และคิดว่าชีวิตในธุรกิจแบบนี้คงไม่มีใครอยากคบ
“ไงวะ ไม่ได้เจอมึงตั้งนานแล้วน่าจะ 7-8 เดือนได้แล้วนะ ทำอะไรอยู่วะ”
“ก็ทำก๊อกๆ แก๊กๆ ว่ะ ใช้แรงงานส่วนใหญ่ แล้วมึงล่ะ” ผมคุยโดยพยายามปิดอาชีพที่ชี้ชัดของตน
“ก็เรียนวิทยุโทรทัศน์ อยู่วาเซดะน่ะ อย่างที่เคยคุยไว้ไงว่ากูคงมาทางอาชีพพ่อ เพิ่งเริ่มเรียนได้เดือนเดียวล่ะต้องปรับพอสมควร”
“โหย เจ๋งเลยๆ ได้ดีแล้วอย่าลืมเคอิโงะคนนี้นะคร้าบ” ผมเล่นมุขจนความเกร็งบางอย่างช่วงต้นๆ ระหว่างคุยกันในร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งดีขึ้นมา
จากนั้นผมก็เสคุยเรื่องเพื่อนคนอื่นว่าหลังจากจบแล้วไปเรียนต่อ หรือทำอะไรที่ไหนบ้าง บ้างก็เป็นคนที่พอสนิท บ้างก็อยากรู้ชะตาชีวิตของคนที่ผมเกลียดขี้หน้า ส่วนใหญ่ชีวิตก็ดีกว่าผมทั้งนั้น ก่อนจะถามคำถามสำคัญ
“แล้ว...มึงพอจะรู้เรื่องฮิคาริบ้างหรือเปล่าวะว่าเขาเป็นไงบ้าง” ไอ้คาโตะสังเกตอากัปกริยาเขินๆ ของผมได้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะมันคงเด่นชัดมาก
“นั่นๆๆๆๆ แน้ ไอ้ห่า กูรู้เลยว่าอยากถามถึงฮิคาริก่อนอยู่แล้ว ร่ำไรอยู่ได้นะมึง”
“เออๆๆๆ ไม่ต้องมาแซวมาก ก็กูชอบของกูนี่หว่า”
“เนอะ มีผู้ชายคนไหนในชั้นปีเราบ้างนะที่ไม่หลงฮิคาริจัง” พอจบประโยคนี้คาโตะมีทีท่าเงียบๆ ไป
“ตกลงฮิคาริเขาไปเรียนที่ไหนวะ” ผมรีบถามซ้ำ
“กูไม่รู้ว่ะ ตั้งแต่มีข่าวที่ว่าก็ไม่มีใครรู้เรื่องเธอเลย”
“ข่าวอะไรวะ”
“อ้าว มึงไม่รู้เรื่องเหรอ ข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งเลยนะ”
“ฮ้า เกิดอะไรขึ้น ถึงขั้นออกหนังสือพิมพ์เลยเหรอ คือ...มัวแต่ทำงานว่ะกูไม่ได้ตามข่าวอะไรเลย” ผมไม่อยากจะบอกว่าแม้แต่ทีวีห้องผมตอนนี้ยังไม่มีด้วยซ้ำ
คาโตะทำท่าจริงจังแทนคำตอบ
“นี่พูดซีเรียสนะ คือคุณฮิโระ พ่อฮิคาริเขาโดนจับได้ว่าล็อบบี้เรตติ้งทีวีจากบริษัทตรวจสอบเรตติ้งสถานี หลายบริษัท เป็นข่าวครึกโครมทีเดียว เพราะที่ผ่านมาพ่อบอกว่ะว่าสถานี N ช่วงหลังๆ ตีตื้นขึ้นมาจนบางทีก็ได้รับความนิยมมากกว่า”
“นี่...มันเกิดช่วงไหนเนี่ย”
“ก็ช่วงใกล้จบแล้วล่ะ เขาตีข่าวทุกวันเลย แล้วตอนหลังสถานีเขาจะเอาผิดพ่อฮิคาริ ฟ้องร้องกันค่อนข้างใหญ่โตหลายร้อยล้านเยนเลย”
“หลายร้อยล้านเยน !” ผมฟังแล้วตกใจมาก ขนาดผมเป็นหนี้หลายล้านเยนไม่มีดอกเบี้ย ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะใช้หนี้หมดตอนไหน
“ตอนนั้น...ก็มีพวกที่อิจฉาความเด่นของฮิคาริอยู่แล้ว ก็ได้ทีด่าเธอเสียๆ หายๆ ใหญ่ บางวันก็มีคนไปเขียนที่กระดานหน้าชั้นประจานเธอว่า 'ฮิคาริ นังลูกคนโกง' ขนาดกูก็โดนแกล้งเป็นประจำ เห็นแบบนี้เข้ายังอดสงสารไม่ได้เลย”
“แล้วฮิคาริทำไง”
“จะทำไง...ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก เพื่อนที่เคยสนิทเป็นลูกคนรวยๆ ด้วยกันนี่ก็หนีหมด แทบจะโดนอัปเปหิจากห้อง สภาพน่ะเหรอ จะให้เทียบก็คงเหมือนหงส์ปีกหักล่ะมั้ง ยังดีนะที่มันใกล้ช่วงเรียนจบแล้ว เราก็ไม่รู้สภาพจิตใจเขาหรอกนะ ก็เห็นนั่งซึมๆ ไป แต่สุดท้ายก็เห็นมีชื่อเรียนจบ แต่วันปัจฉิมนิเทศเขาก็ไม่มาแล้วว่ะ”
“นายรู้ถึงแค่นี้เหรอ”
“คือ...ก็รู้มาจากพ่อ คุณฮิโระพอโดนไล่ออก แล้วเห็นว่าทางสถานีก็ให้ทนายเร่งคดีนี้เพื่อให้แกชดใช้ให้ได้ พอกดดันมากๆ เข้า เขาลือกันว่าแกหนีปัญหาขนของหนีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว”
“งั้นก็แสดงว่า...ฮิคาริก็หนีไปเหมือนกัน”
“อันนี้กูก็ตอบไม่ได้ว่ะ แต่เห็นสถานีก็ตามเรื่องอยู่นะ” บทสนทนาระหว่างเพื่อนเก่าจบลงด้วยความเงียบงัน
หลังจากส่งคาโตะและกลับเข้าที่พัก ผมเดินเรื่อยเปื่อยออกมายามค่ำคืนไปร้านหนังสือร้านใหญ่ละแวกนั้นเพราะนอนไม่หลับหลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฮิคาริจะเป็นอะไรไหมนะ” ผมพยายามจะสลัดความคิดเพ้อเจ้อบ้าๆ บอๆ แบบเด็กวัยรุ่นรักเขาข้างเดียวออกไป แต่ก็สลัดไม่หลุด พลางมองหาหนังสือมาอ่าน
สายตาผมมาสะดุดที่นิตยสารวัยรุ่นเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นสาวสวยคนหนึ่งยิ้มสดใสถ่ายภาพขนาดกลาง ใส่ชุดว่ายน้ำทูพีชออกแนวน่ารัก มีคำโปรยบนปกว่า “ยูกิ ฮิเมะ สาวสวยผู้น่าค้นหา ภาพแฟชั่น จุใจ 40 หน้า”
แม้จะใช่ชื่อดังกล่าว แต่ไม่ผิดแน่นอนว่าผู้หญิงบนปกคือฮิคาริ...
ผมหยิบและซื้อกลับมาอย่างไม่ลังเล ภายในเล่มไม่มีรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากมาย บอกแค่นามแฝงดังกล่าว สัดส่วน วันเกิด งานอดิเรกและรสนิยมด้านต่างๆ พร้อมคำอธิบายอีกนิดหน่อย
ภาพชุดดังกล่าวช่วงแรกเป็นชุดเดินชายหาด ใส่หมวกฟาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทูพีชที่ค่อนข้างรัดกุมเหมือนเด็กๆ ลวดลายน่ารักมากกว่าจะเซ็กซี่เร่งเร้าอารมณ์ เปลี่ยนใส่ชุดต่างๆ ถ่ายตามชายหาดตามช่วงเวลาต่างๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วงชีวิต ม.ปลาย ผมและเพื่อนๆ ได้แต่แอบจินตนาการถึง
มีคำถามปะดังปะเดมากมายหลังจากเห็นภาพชุดนี้ แต่ถึงก่อนหน้าผมจะอดห่วงเธอเหลือเกิน ความใคร่ก็ทำให้ผมลืมตัว คืนนั้นเองผมก็ทำเรื่องที่น่าละอายจัดการช่วยตัวเองจากภาพชุดดังกล่าวจนเผลอหลับไปในที่สุด
"อ้าว เคอิโงะคุง วันนี้เอาอะไรมากินเหรอ"
"เอ่อ ก็ไม่มีอะไรน่ะ ข้าวกับไก่คาราเกะน่ะ แม่ทำให้ เหลือตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ก็เลยเอามากินต่อ"
"อร่อยมั้ย"
"ก็พอกินให้มันอิ่มๆ น่ะ ทนกลิ่นหืนน้ำมันทอดซ้ำหน่อย อย่าเรียกว่าอร่อยเลย ฮิคาริล่ะ"
"อ๋อ เมื่อกี้เราฝากซื้อขนมปังเมล่อนไปแล้วล่ะ"
"แหม่ ระดับฮิคาริยังกินขนมปังพวกนี้เป็นมื้อกลางวันด้วยเหรอ"
"โหย ระดับนั้นระดับนี้อะไรล่ะ แม่เราเขาไม่เคยทำข้าวกลางวันให้เลยด้วยซ้ำ"
"อ้าว เหรอ"
"อื้อ แล้วอยู่บ้านเราก็เบื่อน่ะ ชอบพาไปกินแต่พวกภัตตาคารหรูๆ อาหารอิตาลี ฝรั่งเศส หรือบางทีก็สั่งชุดซูชิมาทาน มาโรงเรียนเราก็กินขนมปังนี่แหละง่ายดี อร่อยด้วย" คำบอกเล่าของเธอนี่เองที่ทำให้ผมรู้ทันทีว่าระดับของเรามันต่างกันแค่ไหน
-------------------------
ผมเหม่อมองชายหาดสวยแทบไม่มีผู้คน นึกไปถึงฮิคาริเมื่อตอนพูดคุยกันสมัย ม.ปลาย อีกครั้งเพราะเห็นเธอปรากฎในนิตยสารพร้อมชุดว่ายน้ำเดินแถวทะเลสวยคล้ายกันนี้ที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เห็น
จากตอนนั้นก็ผ่านมาได้ 6 เดือนแล้ว และผมก็ได้กลายเป็นแฟนพันธ์แท้ของฮิคาริหลังจากนั้น พอตามบล็อกของเธอที่อัพเดทข่าวคราว และงานต่างๆ ของเธอในชื่อทางวงการว่า "ยูกิ ฮิเมะ" ผมก็ติดตามมาโดยตลอด เพราะเธอมีงานถ่ายแบบทุกเดือนตั้งแต่ชุดแฟชั่นตามฤดูกาล ชุดคอสเพลย์ ชุดสไตล์แฟนซีตามคอนเซปต์ ที่สำคัญยังออกโฟโต้บุ๊ค หรือสมุดรวมภาพมาแล้ว 3 เล่ม บางครั้งก็ได้ไปออกรายการเกมโชว์ หรือรายการวาไรตี้แค่ช่วงสั้นๆ เป็นคลิปสัมภาษณ์นิดหน่อย ยังไม่ได้เป็นคนเด่นมากนัก ผมที่เฝ้าดูก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมสวยๆ อย่างเธอถึงได้โอกาสแค่นี้ ทั้งที่ถ้าไปเช็คอันดับขายดี โฟโต้บุ๊คของเธอติดอันดับต้นๆ ในกลุ่มประเภทนี้เลย แม้ชุดที่ถ่ายจะไม่ได้หวือหวาอะไรเช่นเดียวกับแฟชั่นชุดว่ายน้ำครั้งแรกนัก แต่ก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนที่โค้งเว้า กลมกลึง ได้รูปร่างตามมาตรฐานนางแบบมากขึ้นๆ
ส่วนผมเอง ก็ได้งานเพิ่มขึ้นมาอีกจากการไปเป็นผู้ช่วยแมวมอง กับงานเตรียมอุปกรณ์ถ่ายทำ แม้จริงๆ ก็ยังเน้นใช้แรงงานแต่ช่วยให้มีรายได้พอจะชดใช้หนี้มากอีกนิด เช่นเดียวกับบริษัทผลิตโปรดักชั่นหนังเอวีสมัครเล่นของคุณทาเคชิ ที่ได้รับโอกาสจากค่ายใหญ่มากขึ้น ถ้าเทียบกับงานหนังเหล่านี้ได้อดีตก็มีความเป็นอุตสาหกรรมกว่าเดิมมาก เพราะผลิตป้อนตลาดไม่ขาด หลายชิ้นก็เป็นซีรี่ส์ที่เล่าฉาก หรือเรื่องซ้ำๆ กันเปลี่ยนเพียงนักแสดงที่หมุนเวียนกันเข้ามารับหน้าที่สนองอารมณ์ทางเพศคนดู
งานนี้ผมก็ได้มาปักหลักที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดไอจิ ร่วมสัปดาห์เพื่อถ่ายทำซีรี่ส์ On The Beach ประมาณว่าจองคิวนักแสดงหนังเอวีมา 4 คนเลย ถ่ายทำกันเป็นคนๆ ไปในเกาะที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแวะมานัก เราก็อาศัยรีสอร์ทที่ห่างไกลผู้คน และชายหาดที่ไม่เป็นที่นิยมนัก แอบถ่ายทำกันแบบกองโจรซะส่วนใหญ่เพื่อประหยัดงบ
"ซี๊ดดด อูย อ๊ะๆๆๆๆ ถึงแล้ว อ๊ะ ถึงแล้วๆๆๆ อ๊าาาาาาซซซซซ" เออิ ทาเคอุจิ นักแสดงสังกัดค่าย Moodyz กำลังแสดงฉากช่วยตัวเองด้วยนิ้วมืออันของเธอกลางชายหาด ถ่างขาอร้าอร่าม บิกินี่ส่วนบนถูกถกขึ้นอย่างลวกๆ เผยหน้าอกหน้าใจอันมหึมา ท่าทางของเธอหฤหรรษ์กับพื้นที่เปิดโล่งเย้ยฟ้าท้าคลื่นอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใคร จบฉากนี้ก็เหลือฉากสองรุมหนึ่งหรือ 3P ต่อก็เป็นอันเสร็จทุกคิวของทริปนี้ และจะทยอยวางแผงตามลำดับแต่ละเดือนๆ
ตอนที่เข้ามาทำงานช่วงแรก ผมเกร็งมากแม้จะผ่านมาได้เกือบปีแล้วก็ยังตื่นเต้นเวลาเห็นฉากเหล่านี้ ผิดกับรุ่นพี่หลายคนที่บอกว่าให้ระวังกามตายด้านเอาง่ายๆ เพราะจะเห็นจนเบื่อ แต่ความที่ยังหนุ่มๆ เห็นอะไรเข้าหูเข้าตาหน่อยเป็นอันทำงานไม่ได้ ต้องพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แทนด้วยซ้ำ...พูดแบบค่อนข้างอาย บางครั้งหลบฉากต่างๆ ไม่ได้ แม้จะรู้ว่าบ่อยครั้งมันก็คือการแสดงซะเยอะ แต่ก็อดจินตนาการไปปะปนกับฮิคาริ สาวในดวงใจของผมเข้าจนได้
มาคิดๆ ถึงเหตุการณ์ในอดีตดูแล้ว เธอจะมีชีวิตอยู่ยังไง ทนความลำบากแบบผมได้หรือ ?
หลังกลับจากจังหวัดไอจิได้ไม่นานนัก ทางคุณทาเคชิก็เรียกทีมงานมาบอกข่าวดี วันนี้บริษัทอาจได้รับงานถ่ายแบบ Gravure Idol เซ็นสัญญาร่วม 1 ปีเต็มเลยทีเดียว
"เอ ติดต่อบริษัทไหนได้หรือครับ บริษัทอย่างเราเนี่ยนะจะได้งานแบบนั้น" ทีมงานบางคนถามอย่างตรงไปตรงมา
"เฮ้ย น้อยๆ หน่อย เราเองก็เคยถ่ายงานพวกนี้มาก่อนบ้างแล้ว" แม้จะนับถือรุ่นพี่แต่ก็ถึงกับเบ้ปาก เพราะไอ้งานที่รุ่นพี่ทาเคชิว่ามันคืองานประเภท Full Nude ร่ำๆ จะกลายเป็นหนังเอวีอยู่แล้ว
ผมฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากว่าน่าจะได้งานได้เงินเพิ่ม จนช่วงเย็นนั้นเองขณะที่ถูกเรียกให้ไปเสิร์ฟน้ำที่ห้องรับแขก ค้อมตัวสวัสดีปะหลกๆ ตามการแนะนำพี่ทาเคชิ
"นี่รุ่นพี่ฉันเอง คุณคุโระ" ผมมองชายวัยกลางคนร่างท้วมใส่สูทดูจริงจังแม้ขณะยิ้ม จนทำให้รอยยิ้มดูน่ากลัวพิกล เป็นมาดคนละแบบกับพี่ทาเคชิที่อายุสามสิบที่ยังพอมีมาดนักเลงอยู่บ้างแบบผ่านๆ ข้างมีหญิงสาวใส่แว่นดำนั่งเงียบๆ ก่อนจะผละรีบเดินไปทำงานต่อด้านหลัง
"เคอิโงะคุง !" เสียงใสๆ นั้นผมจำได้ไม่ลืม แม้จะไม่ได้ยินนานแล้ว
"เคอิโงะคุง ใช่มั้ย" เสียงนั้นทำท่าดีใจระคนตื่นเต้น ขณะที่ผมนั้นใจกองลงไปกับพื้น ค่อยๆ หันไปเพื่อความแน่ใจอย่างช้าๆ
"เราเอง จำกันได้มั้ย" ฮิคาริ...เธอคือฮิคาริที่ผมเฝ้าฝันมานาน มิหนำซ้ำยังยิ้มทักทายผมเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดีๆ
"จะ...จำได้" ทำไมผมจะจำไม่ได้ แต่สภาพของผมที่ตอนนั้นผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยาวปรกหน้า โกรกผมสีทองสีกระดำกระด่างตามคำชวนของรุ่นพี่ในกองต่างหากที่แทบจะไม่กล้ามองเธอเลย
ฮิคาริถอดแว่นออก เธอดูดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก ด้วยการแต่งหน้าทำผมจนดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กมัธยมปลายอีกต่อไป
"อ้าว เพื่อนเหรอหนูฮิคาริจัง" คุณคุโระเอ่ยน้ำเสียงออกมาเป็นครั้งแรก หน้าตาเหมือนจะดุ แต่น้ำเสียงเปี่ยมเมตตา
"ค่ะ บังเอิญมากๆ หนูขอไปคุยกับเพื่อนหน่อยได้ไหมคะ"
"อืมม์.. ได้อยู่แล้ว แต่ว่าต้องหลังจากคุยงานเสร็จแล้วนะ"
"ค่ะ ขอบคุณคุณคุโระมากๆ ค่ะ" ฮิคาริก้มหัวค้อมรับด้วยสีหน้าบ่งบอกว่ามิใช่ทำไปตามมารยาท ก่อนจะมองมาทางผมซึ่งยิ้มแห้งๆ โบกมือทำสายตาสดใส
"เดี๋ยวเจอกันนะ"
การสนทนาผ่านไปร่วมสองชั่วโมง เวลาล่วงเลยมาจนหนึ่งทุ่มเศษ ตอนนั้นเองที่รุ่นพี่เรียกผมจากในห้องแต่งตัว
"เฮ้ย เพื่อนมึงน่ะเขาจะกลับแล้ว"
ตอนที่ผมรีบวิ่งออกไปนั้น ฮิคาริรออยู่หน้ารถที่มาจอดหน้าสำนักงานแล้ว
"โทษทีนะ ไม่นึกว่าจะคุยงานดึกขนาดนี้ นี่เราต้องกลับแล้ว คุณคุโระให้คนมารับเราไปส่งก่อน"
"มะ...ไม่เป็นไร"
"นี่ เคอิโงะ เธอทำงานที่นี่เหรอ ทำหน้าที่อะไรน่ะ"
"เอ่อ...จะบอกว่าไงดีนะ เรียกว่าเบ๊นั่นแหละนะ" ผมเน้นคำว่าเบ้กระซิบหัวเราะขื่นๆ หน้าตาตลกๆ ฮิคาริเลยหัวเราะคิกๆๆ
"เฮ่อ นี่เราไม่ได้หัวเราะอย่างนี้มานานแล้วนะเนี่ย" ผมเองก็เผลอหัวเราะและยิ้มดีใจไปกับเธอ ก่อนจะระลึกได้ว่าเวลาที่จะคุยมีไม่มากนัก
"ฮิคาริจัง เป็นไงบ้าง" เธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเงียบทันที แต่ก็ยิ้มตอบ
"เราก็สบายดีแหละ"
"จริงเหรอ เราพอรู้เรื่องเธอมาบ้างนะจากข่าว"
"ก็ตามนั้นแหละ แต่..แต่เราก็สบายดีนะ เคอิโงะเองก็ท่าจะลำบากเหมือนกันนี่" ผมแอบตกใจเล็กน้อย
"เธอรู้เรื่องเราด้วยเหรอ"
"เราได้ยินจากคุณครูน่ะ ช่วงที่พ่อเราเป็นข่าวนั่นแหละ ครูเขาก็เล่าเรื่องเธอให้ฟังนะ"
"แต่เท่าที่เรารู้มา บ้านเธอ...เป็นหนี้..." ผมยังไม่ทันพูดจบ ฮิคาริก็ชิงตอบ
"ไม่เป็นไรหรอก เราก็ลำบากจริงๆ แต่ตอนนี้ตั้งแต่คุณคุโระมาเสนอช่วย เราก็พอมองเห็นทางออกบ้างแล้ว จริงๆ ตอนแรกเราก็ไม่ไว้ใจเขาหรอกนะ กลัวเลยล่ะ เขามาเสนอให้ทำงานวงการบันเทิง เราก็จำต้องทำเพื่อหาเงิน แต่เขาดีกับเรามาก เขาเป็นที่พึ่งเราได้ตอนที่เราไม่มีใครเลย"
"อ้าว แล้วพ่อแม่เธอล่ะ"
"พ่อหนีไปต่างประเทศ เราติดต่อไม่ได้เลย ท่านเครียดมาก ส่วนแม่...แม่กับพ่อเราจริงๆ ระหองระแหงกันมานานแล้ว ทนข่าวที่ออกได้ไม่นานท่านก็หนีไปกับผู้ชายที่แอบคบกัน เราเองก็เพิ่งรู้" ตอนนั้นเองที่ฮิคาริเริ่มมีน้ำเสียงไม่ดีนัก
"ขะ ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจเซ้าซี้เลย"
"ไม่เป็นไร นี่..."เธอกล่าวพลางยื่นกระดาษจดเบอร์โทร. "อย่าลืมโทร.มาคุยกันบ้างนะ" ผมรับมาอย่างหน้าแดง ไม่นึกไม่ฝันว่าเธอจะเป็นคนให้เบอร์โทร.กับคนอย่างผม
รถเก๋งที่มารับขับจากไปท่ามกลางความมืด ขณะที่ผมเองก็ยังไม่ได้กลับบ้าน คุณทาเคชิชวนผมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมากินเหล้าเพื่อคุยกับคุณคุโระต่อพร้อมพี่ๆ ทีมงาน
คุณคุโระนั้นพอเหล้าเข้าปากก็จัดว่าคุยเก่งขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว เรียกได้ว่ารุ่นพี่เป็นฝ่ายฟังเสียมาก ขณะที่ทีมงานบางคนก็เริ่มจับเจ่านั่งโต๊ะข้างๆ คุยเฮฮากันเอง มีเพียงผมที่คออ่อนนั่งสะลีมสะลือจากฤทธิ์เบียร์ที่รุ่นพี่ประเคนให้หลายกระป๋อง กับทีมงานหลักบางคนที่ฟังแกคุยเขื่องเรื่องต่างๆ อยู่
ผมเองไม่ได้ตั้งใจฟังมาก บางเรื่องจับไม่ได้ศัพท์ด้วยซ้ำ แต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนได้ยินเรื่องๆ หนึ่งค่อนข้างชัดขึ้นมา และตั้งใจฟังในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น
"แล้วรุ่นพี่คุโระไปได้แม่หนูยูกิคนนี้มาได้ยังไง"
"อ๋อ ฮิกกี้น่ะเหรอ ก็ไปทาบทามตอนเขาลำบากน่ะ พ่อแม่เขาติดหนี้บานเลย เขาต้องหาทางชดใช้ มาออกหน้าแทน"
"โห ขนาดนั้นเลย...แล้วอย่างนี้เขาไม่สำนึกบุญคุณรุ่นพี่แย่เลยเหรอ"
"แหงสิ กูเอาอกเอาใจสารพัดขนาดนั้น งานก็หาให้ตั้งเยอะ เขาเองก็ตั้งใจทำงานดี"
"พี่กะจะปั้นให้เป็นดาราดังเลยงั้นสิ"
"ฮ่าๆๆๆๆ เปล่าหรอกว่ะ"
"อ้าว ไหงงั้นล่ะ แม่หนูนี่หน้าตาสะสวยทีเดียวนะ ผมว่าสวยกว่าดาราบางคนอีก"
"เออ ก็เพราะอย่างนั้นล่ะ"
"ยังไงครับเนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว"
"หึ กูลืมบอกอะไรมึงไปอย่าง สมัยก่อนนะกูไปทาบทามของกูดีๆ พ่อมันสมัยใหญ่โตแม่งไล่กูยังกับหมูกับหมา ยัยนี่สมัยก่อนก็เชิดเหลือเกิน พอกูได้ข่าวที่เกิดขึ้น กูก็สบโอกาสว่ะ รีบไปตะครุบเหยื่อ ไม่นึกว่าปลาจะกินเบ็ดมาถึงขั้นนี้ ทีนี้ล่ะมึงถึงตากูมั่ง"
"รุ่นพี่จะทำอะไรต่อเหรอ"
"ก็ค่อยๆ ฉุดมันลงต่ำน่ะสิ วงการบันเทิงมันมีเส้นทางที่คนมองว่าสดใสรุ่งโรจน์ แต่จริงๆ มันก็มีด้านมืด กูถึงได้มาติดต่อให้งานกับบริษัทมึงไง"
"โห รุ่นพี่พูดอย่างนี้ผมเสียหายแย่เลย" พี่ทาเคชิหัวเราะแหะๆ
"กูก็ไม่ได้อยากเทียบอย่างนั้นหรอกนะ แต่เทียบกับสิ่งที่กูพูดให้ยัยหนูนั่นเคลิ้มนะ ที่นี่จะกลายเป็นนรกบนดินแน่ ฮ่าๆๆๆๆๆ" รุ่นพี่เองก็ได้แต่หัวเราะเออออไป
ผมฟังบทสนทนาดังกล่าวด้วยความรู้สึกตระหนก แต่ร่างกายมันกลับไม่ตื่นตามความรู้สึกดังกล่าว ก่อนสติจะค่อยๆ หมดไป