GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 2.5 (kankan)GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 2.5 (kankan)
(น้ำพุ madonna di verona)
บรรยากาศเริ่มย่ำค่ำมีการเปิดไฟทำให้โลกในเวโรน่ายิ่งมีมนต์ขลังและแสนจะ โรแมนติก
ผมชี้ชวนให้โมดูน้ำพุ Madonna Verrona ตรงใจกลางจัตุรัส อีกด้านเป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมทำจากหิน
ด้านบนตึกมีรูปปั้นเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมากมาย
จากนั้นผมจูงมือพาเธอเดินเคียงข้างเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ
เราผ่านจากอาคารหลังหนึ่งไปสู่อาคารอีกหลังโดยเส้นทางระหว่างตึกเชื่อมด้วย ซุ้มหินโค้งขนาดใหญ่
ตามตัวตึกมีประติมากรรมประดับ ยิ่งต้องแสงไฟในยามท้องฟ้าเริ่มเป็นสีครามเข้มเกือบดำ
แสงสาดส่องตามผนังอาคาร ทำให้เกิดแสงเงาในมุมมองต่าง ๆ ขลังเกินบรรยาย
นุ่มนวล อ่อนหวาน เหมือนถูกพ่อมดสะกดให้เข้าสู่ภวังค์แสนหวาน
เดินกันเรื่อย ๆ จนมาถึงจัตุรัสกลางเมืองอีกแห่ง
ผมชี้ให้เธอดูรูปปั้นของสุดยอดกวีซึ่งผมรู้ว่าเธอรู้จัก
"โม..จำนายคนนี้ได้หรือเปล่า คนที่โมชอบนะ... ?"
โมเงยหน้าขึ้นมองขมวดคิ้วด้วยความพิศวงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนยิ้มพรายจนตาหยีแล้วตอบผมว่า
"นายคนนี้ใช่...ดังเต้..ปล่าว พี่กาญจน์ ?"
ผมพยักหน้าเพราะเราเคยคุยกันถึงงานของสุดยอดนักกวี นักเขียนท่านนี้มาบ่อยครั้ง
ดังเต้ (Dante Alihieri) เป็นสุดยอดนักเขียนยุคเก่า
ผลงานที่โด่งดังจนต้องมีการสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นเกียรติในที่หลายแห่ง
อย่างในฟลอเรนซ์ เวโรน่า และราเวนนา ผลงานชิ้นนั้นก็คือ Divine Comedy เป็นหนังสือแค่สามเล่ม
เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนรก โลกมนุษย์ และสวรรค์ โดยดังเต้เป็นตัวเอกที่เดินพลัดหลงผ่านเข้าไปในโลกทั้งสาม
ผลงานชิ้นนี้ไม่ใช่จินตนาการ แต่เป็นการรวบรวมความรู้ด้านต่าง ๆ มากมาย
โดยได้รวบรวมความรู้ต่าง ๆ ที่มีเข้ากับความรู้ทางศาสนาคริสต์และอิสลามเอาไวอย่างแนบเนียน
ว่ากันว่าดังเต้ใช้ภาษาที่งดงามมาก ๆ จนได้รับฉายาว่า 'บิดาแห่งภาษาอิตาลียุคใหม่'
"เสียดายจังนะพี่กาญจน์ที่ยังไม่มีใครอาจหาญแปลเรื่องนี้ออกมาเป็นภาษาไทย"
"ดังเต้เขียนเป็นบทกวีที่มีความยาวมากถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบรรทัด คนแปลจะต้องเก่งทั้งเรื่องภาษาและกวี จึงหายาก
และอีกอย่างไม่เคยมีหน่วยงานไหนของรัฐที่สนับสนุนในเรื่องแบบนี้...น่า เสียดายและสงสารคนไทย..."
โมหันมามองผมแล้วพยักหน้ารับอย่างเศร้า ๆ
"ตอนเรียนพี่เคยฟังอาจารย์เล่าให้ฟังว่า
เรื่องเริ่มจากดังเต้นอนหลับในป่าแล้วเลี้ยวผิดทาง ดังเต้ได้พบกับกวีเวอร์จิล
ซึ่งมานำทางเขาผ่านประตูนรกเข้าไปดูชีวิตหลังความตาย
ดังเต้ได้เดินทางไปเห็น Purgatory (ดินแดนสำหรับวิญญาณที่ไม่โดนลงโทษรอการชำระบาปก่อนขึ้นสวรรค์),
Inferno (นรก) และ Paradise (สวรรค์) พี่ว่าออกจะคล้าย ๆ กับความเชื่อของคนไทยอยู่บ้างเหมือนกัน..."
"น่าจะมีคนเก่ง ๆ แปลมาให้อ่านกันนะ..."
"นั่นซิ.....น่าเสียดายจัง..."
เราเดินกันไปเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่แล้วผมก็บอกเธอว่า
"โมอยากเห็นบ้านของนายโรมีโอสุดหล่อหรือเปล่าละ ?"
โมหันมามองผมตาโตอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า
"อยากซิ...พี่กาญจน์...ใช่..ใช่ซิ..เรื่องเกิดขึ้นที่นี่นี้นา...เรานอนตรง ข้ามบ้านจูเลียตหวานใจ
แหม..ถ้าได้เห็นบ้านพ่อสุดหล่อของโมนะ...ยอดมากเลย...อยู่ตรงไหน..อยู่ไหน ?"
โมเขย่าแขนผมจนผมอดหัวเราะกริยาอาการของเธอไม่ได้
"นั่น..สุดหล่อของจูเลียตเขานะโม..ไม่ใช่สุดหล่อของโมนะ..."
"แอะ ๆ สุดหล่อของโมเดินอยู่ข้าง ๆ แล้วนี่นา..ลืมตัวไป อิอิ"
พูดแล้วโมเอียงไหล่มาพิงต้นแขนของผม ก้มลงมองแล้วพูดต่อว่า
"งั้นไปกัน..ไปดูบ้านสุดหล่อ.."
ผมพาเธอเดินมุดเข้าไปในตรอกจนไปเจอกับแผ่นอิฐแปลกตาคล้าย ๆ กับราวสะพานเก่า
ผมชี้ให้เธอดูบ้านหลังที่อยู่ตรงนั้น โมขยับเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วหันมาหาผมถามว่า
"เขารู้ได้ยังไงละว่านี่คือบ้านของสุดหล่อโรมีโอ ?"
"ใครจะไปรู้ละ..เขาว่าหลังนี้...เราก็หลังนี้..ตอนกลางวันคนจะมาดูกันเยอะ เหมือนบ้านจูเลียตที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่เราพัก"
โมพยักหน้าแล้วยิ้มแพรวพราว ดวงตาสุกสว่างเป็นประกาย
"เค้าจัดแสงเงา..ดูโรแมนติกดีจัง..." โมเปรยขึ้นมาเบา ๆ
จากนั้นผมจูงมือเธอเดินออกจากซอยบ้านของพ่อโรมีโอมาตามถนน
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงมากแล้ว แสงเงาที่ถูกจัดไว้อย่างดียิ่งดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
อากาศเย็นสบายไม่ถึงกับหนาว ทำให้เดินกันอย่างสบาย ๆ ไม่เหนื่อย
ทั้งบริเวณมีแต่อาคารเก่าแก่ รัฐบาลห้ามไม่ให้รถราเข้าในนี้เด็ดขาด
อีกไม่เกินสิบห้านาทีเราก็เดินกลับมาถึงหน้าโรงแรม
ผมกดรหัสผ่านตรงประตูทางเข้าแล้วเดินเข้ามาหยุดที่หน้าบ้านของแม่นางจูเลีย ตหวานใจพอโรมีโอ
เงยหน้าขึ้นดูระเบียงหินเล็กที่ยื่นออกมา ว่ากันว่าเป็นที่เอาไว้ให้จูเลียตออกมาพลอดรักกับสุดหล่อโรมีโอ
หันมาจับใบหน้าของโมที่ก้มลงมองป้ายให้เงยหน้าขึ้นมองตรงระเบียบหินดังกล่าว
"นี่แหละบ้านของแม่นางสุดสวยจูเลียต..."
"ถ้าโมขึ้นไปโผล่หน้าตรงระเบียบ พี่จะขอเป็นโรมีโอสักวัน แม้จะหล่อสู้ไม่ได้ก็ตาม"
โมหันมาหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า
"พี่กาญจน์ดูดี..ภูมิฐาน..." โมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็ร้องเพลงออกมา
.....ฉันและเธอที่จริงเรารักกัน แม้ว่าใจเราเองต่างรู้ดี
ว่าความจริงนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างฝัน
ความเป็นจริงที่ใจเราต้องการ คือความจริงที่ใครไม่ต้องการ
เขาไม่ยอมรับ และไม่อยากรู้
มันช่างทรมานเหลือเกิน กับรักที่ต้องปิดบัง
ซ่อนความจริง ซ่อนใจ ซ่อนทุกอย่าง อย่างไม่มีจุดหมาย...
...................
โมหยุดร้องแค่นี้.. ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนจึงถามเธอว่า
"เพลงอะไรนะโม ฟังแล้วเศร้าจัง..."
"ก็เพลง...โรมีโอ แอนด์ จูเลียต..ของน้อย วงพรู"
"โมนี่ก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกันนะ..."
"แหม..ร้องต่อไม่ได้..จำเนื้อได้แค่นี้แหละ..."
โมยื่นมือสอดเข้ามาคล้องแขนผมเอาไว้แล้วพูดว่า
"โรมีโอของจูเลียต..เราไปห้องกันเถิดจ้า ข้าผู้ภักดีจะขอตามท่านโรมีโอไปทุกหนทุกแห่ง ดังทาสผู้สัตย์ซื่อ"
ผมอดหัวเราะท่าทางที่เหมือนกับจะเล่นละครเวทีของเธอไม่ได้
"ไปกับข้าเถิดแม่นางสุดที่รักแห่งข้า..แม่นางผู้ประดุจน้ำทิพย์แห่งจิต วิญญาณ ข้าส่งให้แม่นางได้สัมผัสสวรรค์อันบรรเจิด..."
คราวนี้น้องโมหัวเราะจนตัวงอ
"พี่กาญจน์ก็เอาโมไปด้วย..."
ผมสะดุดกับคำพูดของเธอเลยก้มลงไปกระซิบที่ริมหู
"พี่กาญจน์ต้องเอาโมแน่นอน..ปรารถนามานานหลายปีแล้วนิ..."
โมหันมาทุบแขนผมสองสามที ไม่กล้าสบตาผมแล้วพูดเสียงแผ่ว ๆ
"ก็รีบขึ้นไปซิ...ตรงนี้ไม่ได้หรอก..."
"จูบกันในแกลเลอรี่ยังได้เลย..." ผมกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ
"นั่นเราสองคนตกอยู่ในมนต์ขลังของ The Kiss นี่นา..." โมก้มหน้าซุกลงกับแขน
ผมยื่นมือไปขยี้ผมเบา ๆ โมเงยหน้าขึ้นมาพิงไหล่ผม
"ตอนนั้นโม..ลืมตัวไปหมดเลย...พี่กาญจน์ละ..."
"อื้อ..พี่ว่าเป็นจูบที่ดีที่สุดในชีวิตของพี่เลย...โมว่าไง... ?"
โมเงียบไปนานจนผมคิดว่าเธอคงไม่อยากตอบผมแล้ว
"โม..ไม่เคย เคลิ้มไปกับรสจูบได้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย..พี่กาญจน์"
เสียตอบของเธอเบาหวิว แต่ช้าชัดถ้อยชัดคำ
ความจริงผมอยากจะถามเธอต่อว่าไม่เคยจูบกับโอ๊คแล้วรู้สึกแบบนั้นมาก่อนเลย หรือ ?
แต่เก็บปากเก็บคำไม่ถามแล้วก็ไม่ควรถามเป็นเด็ดขาด
ผมประคองพาเธอเดินเข้าไปในโรงแรมเจ้าหน้าที่ต้อนรับโค้งให้แล้วกดลิฟต์ให้ เราเข้าไป
ออกจากลิฟต์เราเดินคลอกันไปตาาทางจนถึงห้องของเราที่อยู่ตรงมุม
ผมกดระหัสเปิดประตูให้โมเดินเข้าไปในห้องก่อน เดินตามเข้าไปแล้วหันกลับมาล็อคประตู
พอผมหันหน้ากลับมาชนโมที่ยืนรอนิ่งอยู่ด้านหลังผม เธอไม่ได้ขยับไปไหน
โมโผกอดผมแน่นแล้วเขย่งขึ้นมาจูบแก้มผมฟอดใหญ่
ผมทิ้งของที่ถือลงกับพื้นรีบประคองใบหน้าของเธอที่เงยอยู่แล้วเอาไว้
ประกบริมฝีปากอิ่มจูบแบบ The Kiss อีกครั้ง และอีกครั้งจนไม่นับ
โมรับการจูบของผมอย่างเต็มใจแล้วโต้กลับมาอย่างรุนแรงเช่นกัน
เรายืนจูบกันตรงประตูนานจนผมรู้สึกว่าเนื้อตัวของโมสั่นสะท้านด้วยอารมณ์
แต่พอสอดมือจะช้อนร่างของเธอขึ้นมา โมกลับฝืนตัวถอนริมฝีปากออก แล้วกระซิบเสียงสั่นเครือ
"ขอ..ขอ..โม..อาบ..น้ำ..ก่อน..."
"อากาศเย็น..ไม่อาบก็ได้..." ผมบอกเธอด้วยความอารมณ์ปั่นป่วนปรารถนาไม่แพ้กัน
"ข..อ..ขอ..โม..อาบ..ก่อน..นะ..นะ..ค่ะ.."
"พี่อาบด้วยได้ปล่าว.. ?"
"ให้โมอาบคนเดียวนะ..นะค่ะ..." โมเว้าวอนผมอีกครั้ง
ผมถอนหายใจพรือยาวแล้วพยักหน้า พยายามสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างเต็มที่
เธอเขย่งขึ้นมาจูบแก้มผมอีกครั้งเพราะเข้าใจอารมณ์ผมดี
"อีกนิด..นิดเดียว..อาบน้ำแล้วพี่กาญจน์จะได้หอมชื่นใจด้วย Ferragamo ไงจ๊ะ..."
"จ๊ะ...พี่ขอให้โมอาบก่อนแล้วพี่ค่อยอาบ..."
"ขอบคุณคะ..."
โมเดินไปรูดซิปกระเป๋าหยิบของที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ
ผมเดินเข้าไปเปิดไฟจัดการแกะสบู่ออกจากห่อ
ปลดล๊อคยาสระผมกับครีมนวดออก แล้ว้เดินออกมาจากห้องน้ำ
"เชิญแม่นางจูเลียตหวานใจของโรมีโอ..เข้าไปอาบน้ำเถิด..."
โมหัวเราะร่วน ยกมือขึ้นมาลูบแก้มผมแล้วพูดว่า
"โรมีโอจ๋า..อดใจอีกหน่อยนะที่รัก..."
"จูเลียต..แม่นางผู้เป็นหวานใจแห่งข้า..ข้าจะเฝ้ารอแม่นางด้วยไฟปรารถนา..."
โมพยักหน้าแล้วหัวเราะก่อนรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ
ผมเดินไปที่ริมหน้าต่างเปิดประตูระเบียงหินมองไปยังถนนที่คนยังเดินพลุก พล่าน
ตั้งแต่ผมเห็นโมครั้งแรกตอนโอ๊คแนะนำให้รู้จัก ผมฝันกระเจิดกระเจิงถึงเธออยู่บ่อยครั้ง
ผมชอบคนขาว มีหน้าอกหน่อย เอวคอด แล้วสะโพกกลมผาย
ต่อมาพอสนิทกันผมยิ่งแอบชื่นชมในสมองและฝีมือการทำงานของเธอ
ยิ่งตอนที่เธออาสาจะเป็นคนพิสูจน์อักษรงานเขียนของผมทั้งหมด
ยิ่งทำให้ผมยิ่งใกล้ชิดและแอบชื่นชมเธออย่างลึกซึ้ง
ในการทำงานไม่ว่าใครต่างผิดพลาดได้เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็แล้วแต่
แต่งานที่ไอ้โอ๊คมันป้อนให้ผม ทำให้ผมไม่สามารถพิถีพิถันกับมันได้มากนัก
ก็โมนี่แหละ...ถ้าตรงไหนสงสัยว่าข้อมูลผิดพลาด หรือขาดเหตุขาดผล โมจะโทรมาบอกผม
ช่วยวิเคราะห์และในบางครั้งเธอช่วยผมจัดการปรับแก้ใหม่เลยก็มี
แต่โมกับผมมันเป็นเพียงความปรารถนาที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไอ้โอ๊คมันหวงโมจะตายไป
ก่อนที่มันจะเปรยเรื่องนี้กับผมมันเคยแหย่ผมมานานแล้ว
แต่ผมเองต่างหากที่ระวังตัวแจไม่กล้าที่จะแหยมในเรื่องนี้
ผมรู้ว่ามันรู้ว่าผมแอบชอบโม แต่มันกับผมรู้จักและรู้ใจกันมานาน
อีกอย่างตัวผมปฏิบัติตนแบบสมถะ พอเพียง ยิ่งเลิกเหล้า ผมไม่นอกลู่นอกทางแน่นอน
ผมย้อนนึกถึงเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ที่ไอ้โอ๊คมันตะล่อมถามเรื่องโมกับผม
ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคิดอะไร จะว่ามันเบื่อโมก็ไม่ใช่
มันชอบอ้างว่าโมบ่นกับมันเรื่องมันนอนกับผู้หญิงหลาย แต่เธอไม่มีโอกาส มันอยากให้โอกาสเธอบ้าง
แล้วผมเป็นเพื่อนสนิทกับมัน อีกอย่างผมชอบโม และโมเองก็ชอบผมเหมือนกัน
มันไม่คิดว่าผมเป็นชู้กับเมียมัน แต่เป็นการให้โมหาประสบการณ์ใหม่ ๆ
"พี่กาญจน์โมอาบเสร็จแล้วคะ..."
ผมได้ยินเสียงใส ๆ ของโม ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
โมนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกเดินเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่ตรงประตูริมตรงระเบียบหิน
"หอมจังเลย..." เธอยกแขนเธอขึ้นมาสุดกลิ่น
"จริงเปล่า...ให้พี่พิสูจน์หน่อย"
โมพยักหน้ายิ้ม ๆ แบบรู้ทันพร้อมกับยื่นแขนมาที่จมูกผม
"พี่พิสูจน์ตรงนี้นะ..."
ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่ร่องอกอวบล้นของเธอ โมหัวเราะอิ ๆ แล้วถามว่า
"ทำไมต้องตรงพิสูจน์ตรงนั้นด้วยละพี่กาญจน์..."
"ตำราเค้าบอกว่า..ร่องอกของผู้หญิงจะหอมที่สุด..." ผมมั่วตำราไปงั้นเอง
"เหรอ..ตำราบอกเหรอ...งั้นก็ได้..." โมแอ่นอกกลมมาให้ผมก้มลงไปหอมฟอดใหญ่
"อื้อ..หอมที่สุดเลยโม..."
โมหัวเราะชอบใจกับอาการของผม แล้วพูดว่า
"พี่กาญจน์รีบไปอาบน้ำอุ่นเถอะ..อาบแล้วสบายตัวจัง..ในห้องก็ไม่หนาวเลย"
"นอนรอพี่นะโม..."
ผมกระซิบแผ่ว ๆ ริมหูจนโมจั๊กจี้ขนลุกชูชัน แล้วทำคอย่นเอียงตัวหนี
"รีบอาบเถอะ...ไป..." เธอยื่นผลักผมออกมา
ผมเดินไปถึงหน้าประตูห้องแล้วหันมาบอกเธออีกว่า
"จูเลียตรอโรมีโอก่อนนะ.."
โมค้อนผมวงใหญ่แล้วหัวเราะ
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เสร็จ นุ่งผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำ
โมนอนหลับตาพริ้มอยู่ใต้ผ้าห่มหนา
ผมหยิบชุดนอนที่เป็นเสื้อคลุมยาวของออกมาสวมโดยไม่ได้นุ่งกางเกง
จากนั้นสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มคลุมหนาข้าง ๆ เธอ
โมหันหน้ามาทางผมแต่ไม่ยอมลืมตา
"ง่วงนอน..หรือโม..."
เธอส่ายหน้าแล้วพูดคำสั้น ๆ ว่า
"เขิน..."
ผมเอื้อมมือไปเสยผมที่ปรกหน้าผากเธอขึ้น
"จะดูหน้าโหนกของโมเหรอจ๊ะ ?"
"อื้อ...โหนกจริง ๆ ด้วย แล้ว.แล้ว..."
"แล้วอะไรละ..." โมลืมตาโตขึ้นมองตาผมอย่างรู้ทัน
"ก็ตำราเค้าว่าไว้..หญิงใดที่หน้าผากโหนกหนุนกว้าง โยนีก็จะอวบใหญ่และโหนกด้วย ไม่รู้จริงหรือเปล่า ?"
"ไม่จริงมั่ง...??"
พูดแล้วแล้วโมก็หัวเราะหึ ๆ เท่าทันเล่ห์กลของผม ทำเอาผมหัวเราะตามไปเธอด้วย
"แล้วไม่จริงหรือไงโม ?"
ผมกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเครือด้วยอารมณ์
"โม..กลัวพี่กาญจน์ผิดหวังแล้วละนา..."
"ผิดหวังก็ไม่เป็นไร สมหวังบ้าง ผิดหวังจะเป็นไรไป..."
"สมหวังอะไรละ... ?" โมถามเสียงฉงน
"อ้าว...ก็โมโนตมออก พี่รู้เพราะแอบ ๆ พิสูจน์ขนาดตอนอยู่บนเครื่องบินมาแล้ว..."
"อ๊ะ ๆ..แอบจับตอนโมหลับเหรอ ?" ผมส่ายหน้าไปมาแล้วบอกว่า
"ไม่ใช่...พี่ไม่ชอบเอาเปรียบแบบนั้นหรอก..."
"แล้วรู้ตอนไหน..."
"ก็ตอนที่โมกอดพี่ไง รู้สึกได้เลยว่าต้องล้นมือพี่แน่นอน..." โมหัวเราะแล้วพูดว่า
"แนะ ๆ..รู้จริงเซี๊ยะด้วย..."
"แล้วตรงนั้นไม่โหนกเหรอโม..." ผมแกล้งถามย้ำไปอีก
"ไม่รู้ซิ...อันนี้พี่กาญจน์ต้องไปปิดไฟก่อน..."
"ปิดแล้วพี่จะเห็นความโหนกยังไงกันละโม ?" ผมทำหน้าละห้อย
"ไฟห้องน้ำเปิดทิ้งไว้ไม่ใช่เหรอ..แสงโรแมนติกออก..."
"อึ่ม..จริง..."
ผมรีบลุกขึ้นเดินตรงไปปิดสวิทช์ไฟดวงใหญ่กลางห้องปล่อยให้ไฟห้องน้ำเปิดอยู่ เหมือนเดิม
บรรยากาศในห้องสลัวรางลงแต่ก็เห็นอะไรได้ชัดเจน และยังช่วยให้ห้องนุ่มนวลโรแมนติก
ผมรีบเดินไปที่เตียงแล้วสอดตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
"พี่กาญจน์...พี่กาญจน์อยากนอนกับโมจริง ๆ เหรอ..."
ผมผงกหัวขึ้นมองใบหน้านวลผ่องแล้วตอบว่า
"จริง..สารภาพเลย..ว่าพี่เก็บโมไปฝันบ่อยมากเลย..."
"น่าสงสารจัง.." เสียงเธอแผ่ว "ทำไมพี่กาญจน์ไม่หาแฟนสักคน จะได้ไม่ต้องฝันเอา.."
"พี่เคยบอกโอ๊คว่าเมื่อไหร่มันเบื่อโมให้ยกให้พี่..พี่จอง..."
โมมองสบตาผมนิ่งใต้แสงสลัวรางของห้อง
เธอผงกหัวขึ้นมาจูบริมฝีปากผม ทำให้ผมรีบประคองศีรษะเอาไว้แล้วประกบบดริมฝีปากจูบอย่างดูดดื่ม
เป็นจูบที่มากกว่า The Kiss เสียอีก เราแลกลิ้นตวัดรัดพันกันนัว
พักใหญ่เธอดันหน้าผมขึ้น
"พี่กาญจน์...."
"จ๋า..." ผมขานรับอย่างแผ่วหวาน โมเงียบไปอีก ผมจึงถามเธอว่า
"โม..ตอนอยู่บนเตียงโมชอบพูดตรง ๆ เหรอ..."
"พี่โอ๊คบอกเหรอ..." ผมพยักหน้า
"พี่โอ๊คเป็นคนนำโม..ก็เลยติดไปด้วย..พี่กาญจน์ก็ชอบแบบนั้นหรือเปล่าละ..."
"ดีเหมือนกัน..แต่ไม่ได้พูดกับเคยกับใครเลย.. พี่ว่าผู้ชายเวลาอยู่บนเตียงก็มักจะชอบแบบนี้เป็นส่วนใหญ่แหละจ๊ะ"
"ตอนแรกโมก็เขินน่าดู แต่พี่โอ๊คชอบ หลัง ๆ โมกับพี่โอ๊คจึงพูดกันแบบนั้นแหละ...
พี่โอ๊คเล่าพี่กาญจน์หมดเลยเหรอ..อายจัง..."
"อายทำไมละ...โอ๊ค..มันฝากโมไว้กับพี่ เลยเล่าอะไร ๆ ให้พี่ได้รับรู้ว่าโมชอบยังไง..."
"พี่กาญจน์ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นิน่า...เอาแบบที่พี่กาญจน์ชอบแล้วถนัด ซิ..."
"ใครบอกพี่อยากแบบนั้นเหมือนกัน ยิ่งกับคนที่ปรารถนายิ่งแล้วใหญ่ ที่ผ่านไม่เคยเจอ....."
"งั้น..พี่กาญจน์ทำอย่างที่ใจพี่กาญจน์อยากทำได้เลย..."
"โม...โม..."
"เรียกทำไมจ๊ะ..." เสียงแผ่วหวาน ยื่นมือมาลูบใบหน้าของผม
"พี่จะพูดแล้วนะ..."
"คะ..โมอยากลองฟังพี่กาญจน์พูดมั่ง..พูดเถอะคะ.."
"โมจ๋า..บอกพี่กาญจน์ได้ไหมว่า..หิ..หี...โมโหนกจริงหรือเปล่า ?"
พอสมพูดออกไป โมกลับรั่งท้ายทอยผมลงมาแล้วบดปากจูบ
ครู่หนึ่งจึงถอนออกแล้วกระซิบเบา ๆ
"โมแค่ล้อพี่กาญจน์เล่นนะ...โหนกซิจ๊ะ...พี่กาญจน์ถามบ่อยจัง ติดใจอะไรเหรอ หรือว่าไม่โหนกแล้วไม่มีอารมณ์ ?"
"มีซิ..พี่มีอารมณ์กับโมมานานแล้ว...แค่ในฝันยังขนาดนั้น...แต่ยังอยากคุย กับโมนะ..."
"พี่กาญจน์นี่เป็นคนโรแมนติก..นุ่มนวลดีจัง..."
"โมชอบแบบนุ่มนวลหรือเปล่าละ.. ?"
"คะ..ค่อย ๆ เร้าอารมณ์ให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดีจะตายไป แค่นึกก็ดีแล้ว..."
"พี่ก็ว่างั้นแหละ...ไม่ตอบให้พี่ชื่นใจหน่อยเหรอ.."
"ตอบไร.... ?"
"ก็..ก็...หี...โม..โหนกหรือเปล่า ?"
"ขนาดฝ่ามือกาง.แล้วโหนกด้วย..."
ผมได้ฟังจากปากของโมถึงกับอดใจไม่ไหวก้มลงบดริมฝีปากจูบแลกลิ้นอีกครั้ง
มือของโมโอบรอบคอผมแน่น
พอถอนปากออกโมก็พูดเสียงแผ่วเครือทันที
"แหม..ฟังแค่นี้จูบปากใหญ่เลย.."
"ฟังแล้วมันได้อารมณ์นี่โม..."
"โมก็ฟังแล้วมีอารมณ์เหมือนกัน..."
"พี่จับนมนะ..."
"อื้อ..."
ผมสอดมือเข้าที่อกของเธอ โมไม่ได้ใส่บรา ผมลูบนมของเธอนอกชุดนอน
"ใหญ่กว่าฝ่ามือกางอีก..."
"พี่กาญจน์ชอบใหญ่ ๆ ไม่ใช่เหรอ ?"
"จ๊ะ..หัวนมแข็งเชียว.."
"ก็พี่กาญจน์ทำให้โมปั่นป่วนไปหมดแล้ว..."
ผมนวดนมให้เธอทั้งสองข้าง คลึงเคล้าแบบเน้น ๆ บ้าง เบา ๆ บ้างสลับกันไปมาจนโมเพลินเชี่ยวละ
มีบางครั้งผมใช้ปลายนิ้วจับหัวนมของบีบเล่นไปมา โมแอ่นอกหราขึ้นมา
ในบางที่ผมใช้ปลายเล็บของผมเการอบ ๆ ป้านฐานนมของเธอ