พระนครศรีอยุธยา........พ.ศ. 2548
ห่างจากตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพียงห้ากิโลกว่าๆ มีสวนผลไม้อยู่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าทางเข้ามีถนนใหญ่สายหนึ่งทอดผ่าน รถราวิ่งผ่านไปมา ผู้คนที่ขับรถผ่านสวนแห่งนี้คงประหลาดใจ เพราะแถวนี้ไม่น่าจะมีสวนอยู่ น่าจะเป็นแหล่งธุรกิจไปแล้ว
ภายในสวนผลไม้ขนาดใหญ่ เนื้อที่เกือบ 10 ไร่ เต็มไปด้วยผลไม้ต่างๆร่มรื่นไปทั้งสวน จากประตูรั้วลึกเข้าไปเกือบถึงกลางสวน มีบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง และมีบ้านปูนชั้นเดียวขนาดเล็ก อยู่เยื้องไปด้านหลังอีกหลัง ภายในบ้านสองหลังนั้นสงบเงียบ เพราะถึงบ้านจะมีสองหลังและหลังหนึ่งใหญ่โตก็จริง แต่มีผู้พักอาศัยอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ลุงโต ผู้เป็นเจ้าของบ้านและสวนเหล่านี้ แกเป็นพ่อหม้ายมาตั้งหลายปีแล้ว แกมีลูกชายอยู่เพียงคนเดียว แต่เมื่อลูกชายสอบชิงทุนได้ไปเรียนปริญญาโทต่อยังอเมริกา เรียนจบแล้วก็แต่งงานกับแหม่มและทำงานที่นั้น โดยยอมใช้เงินทุนหลวงคืนเป็นสองเท่า อย่างไม่เสียดาย เพราะเมียรวยอยู่แล้ว
เวลาก็ผ่านไปหกเจ็ดปี ลูกยังไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมพ่อสักครั้ง มีแต่ส่งเงินมาให้เป็นประจำ ล่าสุดนี้เมียมันก็คลอดลูกอีกแล้ว เป็นอันว่าแกมีหลานปู่สองคน ได้ฟังแค่ข่าวทางโทรศัพท์ แต่ไม่เคยเห็นหน้าหลานชายหญิงรวมทั้งลูกสะใภ้ จะเห็นก็เพียงรูปถ่ายที่ส่งมาให้ดูเท่านั้น และนี่มันก็บอกว่าไม่คิดจะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว แต่จะมาเยี่ยมพ่ออยู่หรอก ขอให้มีเวลาว่างก่อน แกก็ได้แต่คิดในใจว่า เฮ้อ..ไม่รู้อีกกี่ปีมันจะว่าง
ลุงโตนั้นแกมีอายุ 53 ปี มีเมียมาสามคน แต่เมียแกก็ตายจากแกไปก่อนทุกที แม้จะอายุน้อยกว่าแกก็ตาม เมียคนแรกที่เป็นแม่ของลูก เสียเมื่อ 15 ปีก่อน หลังจากนั้นอีกสองปี แกแต่งงานใหม่กับเมียคนนี้อยู่ได้เพียง 3 ปี ก็มาเสียชีวิตอีก ทำให้มีเสียงลือกันว่า แกเป็นคนมีดวงกินเมีย ธาตุข่มเมีย ถ้ามีเมียอีกเมื่อไหร่ เมียก็จะตายก่อนแกอีกนั้นแหละ
แกก็บังเอิญได้ยินข่าวนี้เหมือนกัน แต่ไม่เอามาใส่หู เมื่อเหงาแกจึงหาเมียอีกครั้ง เจ็ดปีก่อนแกก็แต่งงานครั้งที่สาม กับหญิงอายุเพียง 32 ปี แต่งได้แค่ปีเดียว เมียคนที่สามก็ป่วยเข้าออกโรงพยาบาลประจำ แกชักจะเชื่อกับข่าวลือที่ว่าแกเป็นคนดวงข่มเมีย ดวงกินเมีย มีผู้รู้บอกพิธีแก้เคล็ดว่า ให้ผัวเมียทำเป็นเลิกราหย่ากัน อยู่บ้านคนละหลัง แกก็ทำตาม โดยสร้างบ้านปูนชั้นเดียวอีกหลังหนึ่ง เพื่อให้เมียอยู่อาศัย แต่ไม่ได้ผล ปีต่อมาเมียคนที่สามนี้ก็เสียชีวิตลงจนได้
ข่าวลือยิ่งแพร่กระจายออกไปไกล ครั้งนี้บอกว่าต้นตอข่าวมาจากญาติผู้หญิงของเมียคนที่สาม คราวนี้ยิ่งแย่กว่าเดิม พิสดารไปอีกว่า อาวุธประจำกายที่พ่อให้มาของแก ท่อนเนื้อนั้นทั้งใหญ่ทั้งยาว โตผิดมนุษย์ทั่วไป แถมยังเซ็กส์จัดเอาไม่บันยะบันยัง หอยเมียฉีกแล้วฉีกอีก จะไม่ให้เมียโทรมและอายุสั้นได้ไง
เมื่อเมียจากไป หลายปีนี้แกก็มีแต่ความเงียบเหงา ว้าเหว่ อายุ 53 ปีของลุงโตนั้น ถ้าดูจากรูปร่าง หน้าตา คนมักจะคิดว่าแกมีอายุเพียง สี่สิบกว่าๆเท่านั้น เพราะแกเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำให้ร่างกายแข็งแรง เส้นผมบนศีรษะก็ยังไม่หงอกไม่ขาวสักเส้น
ในตอนเย็นวันหนึ่ง แกเดินสำรวจดูหน้างานที่แกสั่งคนงานให้ทำว่าเสร็จเรียบร้อยหรือเปล่า ก่อนพวกเขาจะกลับบ้าน ด้วยวันนี้พวกเขาขอทำงานครึ่งวันเอง เพราะช่วงบ่ายจะไปงานเผาศพคนรู้จัก แกมีคนงานประจำสองคน มาทำงานเช้ากลับเย็นทุกวัน ไม่ได้พักอยู่ด้วย เพราะพวกนั้นมีครอบครัวแล้ว อยู่ห่างจากสวนของแกไม่กี่กิโลเอง
เดินดูงานไปแกก็คิดสมเพชตัวเองไปด้วย มีลูกหลานก็เท่ากับไม่มีอยู่ห่างไกลกัน เหมือนอยู่คนละโลก ลูกชายก็คิดเห็นแต่ปัจจัยภายนอก ส่งเงินทองมาตั้งหลายล้าน มันหารู้ไม่ว่าพ่อไม่ต้องการเงินทองเลย เพราะที่มีอยู่ก็มีมากพอแล้ว ยิ่งถ้าขายสวนนี้ไปให้เขาทำธุรกิจตามที่มีคนมาติดต่อขอซื้อ คงได้เงินอีกเป็นร้อยล้าน แต่ไม่ขายหรอก เพราะเป็นมรดกของปู่ย่าที่หาไว้ให้ ที่ทำสวนทุกวันนี้ก็เป็นการหาความสุขทางใจไปวันๆเท่านั้น
คิดๆไปก็ยิ่งน้อยใจลูกชาย มันไม่รู้จิตใจของพ่อ ว่าอยากให้ลูกชายมาอยู่ใกล้ชิด คอยดูแลยามเจ็บป่วย แต่นี่ต้องอยู่เดียวดายไม่มีใครเลย...บ้านใหญ่โตแต่เหมือนบ้านร้างเพราะอยู่ คนเดียวอยากมีเมียอีกสักคนมาเป็นเพื่อนในยามเจ็บป่วย หรือคุยเป็นเพื่อนในยามค่ำคืนที่เงียบเหงา แต่ติดต่อผู้หญิงผ่านใคร ก็ไม่มีใครสน เข้าไปจีบใครก็มีแต่ถอยห่าง เพราะข่าวลือนั่นแท้ๆ
เมื่อใกล้ถึงท้ายสวนที่อยู่ติดคลองน้ำ ลุงโตก็แปลกใจเพราะเห็นเด็กวัยรุ่น 5 คนกำลังนั่งสูดดมอะไรกันอยู่ ในจำนวน 5 คนนั้น มีเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยสองคน พอแกเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นเหมือนกับน้ำมันผสมสีชนิดหนึ่ง แกคิดอยู่เพียงครู่เดียวก็นึกออกว่าเป็นทินเนอร์นั้นเอง
เมื่อนึกได้แกก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่พวกวัยรุ่นเหล่านี้มายึดเอาสวนของแกเป็นที่มั่วสุม แกคว้าไม้ท่อนหนึ่งแล้วร้องถาม
“ เฮ้ย...พวกมึงมาทำอะไรกันวะ? “
พอสิ้นเสียงของลุงโต วัยรุ่นทุกคนก็ลุกขึ้น วิ่งหนีไปคนละทิศคนละทางอย่างรวดเร็ว จนลุงโตทำอะไรไม่ทัน
แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงร่างผอมบาง ลุกขึ้นวิ่งเซแซ่ดๆไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถลาหล่นตูมลงไปในท้องร่องสวน แล้วนิ่งเงียบไป ไม่มีพวกเพื่อนๆสักคน จะหันมาสนใจเธอแม้แต่คนเดียว
ด้วยความเป็นห่วง กลัวเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเกิดอันตราย ตามประสาผู้ใหญ่ คือกลัวว่าแกจะทำเกินกว่าเหตุนั่นเอง แกวิ่งไปที่ร่างเด็กผู้หญิงนั้นเห็นนอนคว่ำหน้านิ่ง ไม่ลุกขึ้นจะคิดหนีอีก ดีแต่ว่าใบหน้าเด็กผู้หญิงคว่ำอยู่บนขอบดิน ไม่ได้จมลงไปในน้ำด้วย ไม่เช่นนั้นเธอคงสำลักน้ำแน่
ลุงโตโยนไม้ทิ้ง เดินลงไปในร่องสวน จับตัวของเด็กสาวพลิกหงายขึ้น ตั้งใจว่าจะสั่งสอนเธอสัก 2-3 คำ แต่เห็นเธอหมดสติไปแล้ว จะเป็นด้วยความตกใจกลัวแก หรือหมดสติไปเพราะเมาสารระเหยก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ในที่สุดลุงโตก็ต้องอุ้มเอาเด็กสาวร่างผอมบางคนนั้นมาที่บ้าน เพราะเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยขี้โคลน มันทำให้ตัวของแกพลอยเลอะไปด้วย เด็กสาวคนนี้ตัวไม่หนัก เพราะร่างของเธอบอบบางเหลือเกิน
ลุงโตอุ้มร่างนั้นเข้าไปในห้องน้ำ แต่เมื่อเข้าไปแล้วแกก็ปลงไม่ตก ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร กับเด็กสาวผู้หมดสติในอ้อมแขนนี้ดี แกคิดว่าถ้าแกล้างขี้โคลน ตามเนื้อตามตัวของเด็กคนนี้ให้สะอาด มันก็หมายถึงต้องเอาเสื้อผ้าของเธอออกจนหมด แกลังเลพลางถามตัวเองในใจ ...จะทำอย่างไรดีวะ
ในห้องน้ำอันกว้างใหญ่ ลุงโตวางเด็กสาวลงบนพื้น เปิดน้ำลงอ่างล้างหน้า เอาผ้าผืนเล็กลงอ่างบิดหมาดๆ แล้วเอามาซับล้างหน้าของเด็กสาวจนทั่ว
เด็กสาวผู้นี้ ถึงแม้ร่างจะผอมและมอมแมม แต่ใบหน้าของเธอก็ส่อแววสวย พอผ้าเย็นสัมผัสกับใบหน้า เด็กสาวก็ลืมตาขึ้น พอเธอเห็นผู้ที่ทำให้เธอฟื้นคืนสติมา เธอก็เกิดอาการหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด เธอยกมือขึ้นไหว้ลุงโตอย่างน่าสงสาร
“ หนูกลัวแล้วค่ะ อย่าทำอะไรหนูเลย “
“ ไม่ทำอะไรแล้วหละ ทำไมจึงมามั่วสุมกับพวกเด็กหนุ่มด้วยล่ะ “
“ เพื่อนหนูชื่อ แมว ที่หนีไปนั่นแหละเป็นคนชวนหนูมา เขาบอกว่ามีที่เงียบๆลับตาคน อากาศเย็นรื่นรมย์ น่ามาพักผ่อน หนูก็เลยมากับเขา หนูเพิ่งมาเป็นวันแรกจริงๆนะคะคุณลุง “
เด็กสาวแสดงความหวาดกลัวลุงโตมาก เธอพนมมือตลอด ขณะที่สายตาลุงโตก็มองเธอนิ่ง
“ บ้านหนูอยู่ที่สลัมคลองเตยโน่น เช่าบ้านอยูที่นั่น หนูไม่ได้กลับบ้านมาสองสามวันแล้ว มาค้างอยู่ที่บ้านของแมว แมวเขาบอกว่าถ้ามีปัญหาหนักใจหรือกลุ้ม ลองดมอ้ายนี่ดู มันจะผ่อนคลายทำให้หายกลุ้มได้ “
“ ทำไมเชื่อเขาเร็วปานนี้ สนิทกันมากหรือ? “ ลุงโตถามอย่างสงสัย
“ เจอกันหลายครั้งค่ะ ตอนขายพวงมาลัยตามสี่แยก ล่าสุดสามวันก่อน เจอกันแถวรังสิต หนูเล่าให้เขาฟังเรื่องหนูมีปัญหากับพ่อเลี้ยง ไม่มีที่จะพัก แมวเขาเลยชวนมาพักที่บ้านเขา “
“ ทำไมมีปัญหากับพ่อเลี้ยงล่ะ หนูเป็นเด็กเกเรหรือเปล่า ไม่ช่วยงานเขามั้ง ” ลุงโตพูดอย่างไม่เชื่อคำพูดเด็กสาวนัก
“ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่ก่อนหนูพักกับแม่สองคนเพราะพ่อหนูเสียชีวิตหลายปีแล้ว พอห้าปีก่อนแม่ก็เอาสามีใหม่มาอยู่ด้วย แต่เมื่อสองเดือนก่อน แม่หนูถูกรถชนเสียชีวิตตอนขายพวงมาลัยตามสี่แยก หนูก็เลยอยู่กับพ่อเลี้ยงตามลำพัง แต่เมื่อหลายวันก่อน พ่อเลี้ยงเมาเหล้ามาจะปลุกปล้ำข่มขืนหนู เพื่อนบ้านมาช่วยไว้ หนูจึงหนีมาพักอยู่กับแมว...“
ขณะที่ฟังเด็กสาวพูด ลุงโตก็จ้องหน้าเด็กสาวตลอด แต่เธอก็ไม่หลบสายตา ยังสบตามองมาที่แก จนแกมองเห็นนัยน์ตาที่ใสซื่อนั้น
“ แล้วทำไมหนูถึงเป็นลมหมดสติ “ ลุงโตยังถามต่อไปเรื่อยๆ
“ เป็นเพราะทินเนอร์ค่ะ หนูเพิ่งดมครั้งแรก เพื่อจะได้หายกลุ้มอย่างว่า หนูก็เลยลองดู ดมได้พักเดียวก็เวียนศีรษะจนตาลายไปหมด พอดีคุณลุงไปที่พวกหนูนั่งกันอยู่ พอได้ยินเสียงลุง พวกนั้นลุกขึ้นวิ่งหนี หนูก็คิดจะวิ่งตาม แต่แล้วหนูก็ไปไม่รอด คุณลุงอย่าทำอะไรหนูเลยนะ จะทำอะไรหนูหรือให้หนูทำอะไร หนูยอมทุกอย่าง อย่าเอาหนูส่งตำรวจเลยนะคะ เพื่อนๆหนูที่ไปอยู่บ้านเมตตานั้นบอกว่า ลำบากมาก หนูไม่อยากไปอยู่ที่นั่น...”
คำพูดของเด็กสาวที่พูดออกมานั้น จากความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานาน ทำให้ลุงโตรู้ว่า เด็กสาวผู้นี้พูดออกมาจากความจริง แกอดสงสารไม่ได้ แกเองก็เป็นคนมีกินมีใช้ การที่จะช่วยเหลือเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่ง ให้พบแสงสว่างในชีวิตบ้าง แกก็พอจะทำได้ และยิ่งเด็กสาวผู้นี้บอกว่าจะทำอะไรเธอก็ได้ ก็ยิ่งทำให้แกคิดไกลออกไปอีก มันจะจริงเหมือนกับเธอพูดหรือเปล่าหนอ คิดขึ้นมาแล้ว ลุงโตก็อดใจเต้นไม่ได้
“ ที่หนูพูดว่าจะให้ลุงทำอะไรหนูได้นั้นนะ หมายความว่าอย่างไร“
“ ก็...ก็หมายความว่า...” เด็กสาวก้มหน้าด้วยความอาย พูดออกมาแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
“ คือ...หนูหมายถึง คุณลุงจะเย่อหนูก็ได้ หนูยอมทุกอย่าง...ขอเพียงอย่าส่งหนูให้ตำรวจเท่านั้น ”
คำพูดของเด็กสาว ทำเอาลุงโตถึงกับนิ่งอึ้ง พูดอะไรแทบไม่ออก ไม่นึกเลยว่าเด็กสาวสมัยนี้ จะใจถึงพูดออกมาได้ตรงๆ แกมองดูร่างที่บอบบางผอมซูบไปทั้งตัวแล้ว ก็อดสงสารไม่ได้ แกนึกถึงอดีตเมียสามคนของแก ซึ่งมีรูปร่างบึบบับใหญ่โต โดนของแกเข้ายังดิ้นพรวด บางคนถึงกับฉีกขาด แกพึมพำออกมาแทบไม่ค่อยมั่นใจ
“ ผอมๆบอบบางแบบนี้ มันจะไหวหรือหนู กระทุ้งแรงๆเข้าหน่อย มิทะลุออกด้านหลังหรือ? “
คำพูดพึมพำของลุงโตนั้น เด็กสาวก็รู้ความหมายว่า ลุงโตหมายถึงอะไร เธอถึงกับยิ้มออกมา เพราะเธอเคยเห็น พ่อเลี้ยงของเธอทำกับแม่ของเธอมาแล้ว แม่ของเธอก็ร่างเล็กผอมบางเหมือนกับเธอเหมือนกัน ไม่เห็นของพ่อเลี้ยงเธอจะทะลุออกไปที่ไหนของแม่เลย
“ เรียกหนูว่าหนิงก็ได้ค่ะ คุณลุงไม่ลองก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไรคะ?”
“ นี่แสดงว่าเรา เคยเสียตัวมาจนชินแล้วละซี...“
ลุงโตนึกไม่พอใจที่เด็กสาวผู้นี้กล้าและกร้านเกินไป แต่มาคิดดูอีกทีแกก็ไม่ได้เสียหายอะไร มีแต่ได้กับได้ลูกเดียว เสียงของลุงโตที่พูดออกมานั้นทำให้เด็กสาวหน้าเสียรีบปฏิเสธว่า
“ ไม่..หนู...หนูไม่เคยจริงๆคะคุณลุง ที่หนูพูดแบบนี้เพราะพ่อเลี้ยงหนู เขา...เขาบอกว่า ของหนูใช้ได้แล้ว เขาพยายามจะเย่อหนูสองสามครั้งมาแล้ว แต่หนูไม่ยอม ที่หนูออกจากบ้านมาก็เรื่องนี้แหละ “