พี่เอ๋ลุกขึ้นไปอาบน้ำ เสร็จแล้วเขาก็เดินออกมา ดิฉันช่วยเขาแต่งตัว
ก่อนที่พี่เอ๋จะกลับเขาก็หยิบกล่องกำมะหยี่เล็กๆออกจากกระเป๋า
“พี่มีอะไรจะให้รุ้ง” เขาพูด พลางเปิดกล่องนั้นออก
มันเป็นสร้อยทองเส้นเล็กๆที่มีจี้รูปหัวใจ
“สวยมากค่ะ” ดิฉันพูดอย่างจริงใจ
“พี่จะใส่ให้นะ”
ดิฉันหันหลังให้เขาสวมสร้อยเส้นนั้นให้
น้ำตาคลออยู่เต็มสองเบ้าด้วยความรู้สึกอบอุ่นตื้นตันใจ
เขาติดสร้องคอเสร็จก็หมุนตัวดิฉันกลับมา
“พี่รักรุ้งนะ พี่อยากจะแต่งงานกับรุ้ง”
“พี่เอ๋...” ดิฉันร้องเบาๆ แต่พูดอะไรไม่ออก รู้สึกตาพร่าเลือนไปหมด
“พี่จะรอ.. รอวันที่รุ้งพ้นโทษ รุ้งจะแต่งงานกับพี่ใช่มั้ย”
ดิฉันไม่ได้ตอบปากรับคำ แม้ว่าใจจะเต็มตื้นไปด้วยสำนึกของความขอบคุณ
เพราะภาพผู้ชายอีกคนยังลอยเด่นอยู่หัว ‘ตั้ม’
คนที่ยึดครองหัวใจของดิฉันไว้ได้อย่างแท้จริง แม้เขาจะต้องติดคุกตลอดชีวิต
แต่ความรัก ความผูกพันที่ดิฉันมีต่อเขาไม่เคยจางหายไปจากใจ..
“พี่ไปก่อนนะรุ้ง” พี่เอ๋จูบดิฉันที่หน้าผากเบาๆ “แล้วพี่จะกลับมาอีก”
เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะเดินออกไป..
แต่นั่นเป็นวันสุดท้ายที่ดิฉันเห็นเขา!
พี่เอ๋ไม่เคยกลับมาอีกเลย เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้รับรู้ธาตุแท้ของผู้ชาย
เพศที่พร้อมจะโกหกหลอกลวงได้อย่างไม่ละอายใจ..
แต่ดิฉันก็ไม่ได้โกรธเขาแต่อย่างใด
อาจจะเป็นเพราะดิฉันก็ไม่ได้รักเขาแต่แรกอยู่แล้ว
ดิฉันเพียงแต่รู้สึกผิดหวังและเศร้าใจ ดิฉันน่าจะรู้แต่แรกแล้ว
ว่าในห้องนี้น่ะมันไม่มีความจริงใจหรอก.. ไม่มีเลย! ห้องนี้มีแต่ตัณหา
ความใคร่ ความโกหก ตลบแตลง
น่าสมเพชตัวเองที่ยังหวังจะได้รับสิ่งดีๆจากห้องนี้ น่าสมเพชจริงๆ.......
ดิฉันยังเก็บสร้อยเส้นนั้นไว้จนถึงวันนี้
เพราะไม่เพียงแต่มันเป็นสัญลักษณ์ของการโกหกหลอกลวงเท่านั้น...
มันยังเป็นประหนึ่งของขวัญชิ้นสุดท้ายจากพี่ชายที่แสนดีของดิฉันที่มอบให้สำหรับการเ
ริ่มต้นอาชีพใหม่...โสเภณี
พัศดีพอใจกับการกระทำครั้งนี้ของดิฉันมาก
เขาเอาตู้เย็นและข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างมาให้
รวมทั้งรับปากว่าจะซื้อน้ำหอมและเครื่องแต่งหน้ามาให้
ซึ่งพัศดีให้ดิฉันเป็นคนเลือกยี่ห้อเอง
ดิฉันจดใส่กระดาษให้เขาโดยลองเลือกยี่ห้อที่มีราคาสูงพอสมควร
แต่เขาก็จัดหามาให้อย่างถูกต้องครบครันตามที่เขียนไป
ห้องของดิฉันตอนนี้แทบจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอยู่เพียบพร้อม
มันดูไม่ผิดไปจากห้องพักดีๆในโรงแรมเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่ขาดหายไป…
นั่นก็คือ..อิสรภาพ
“ท่านคะ.. รุ้งเหงาเหลือเกิน” ดิฉันบอกกับพัศดีในวันหนึ่ง
“ผมรู้ ...” เขาตอบเบาๆ “แต่จะให้ผมช่วยอะไรได้ล่ะ”
“รุ้งรู้ว่าที่นี่มีการสอนประกอบอาชีพให้นักโทษ รุ้งอยากไปเรียน
เรียนอะไรก็ได้ รุ้งจะได้มีเพื่อน จะได้ออกไปรับอากาศข้างนอกบ้าง”
ท่านรองขมวดคิ้ว สีหน้าวิตกกังวล
“ผมไม่อยากให้รุ้งออกไปคลุกคลีกับนักโทษคนอื่น..
อาจจะมีคนสงสัยถึงความเป็นอยู่ของรุ้ง
หรือไม่ก็อาจจะมีเรื่องที่คิดไม่ถึงตามมา” เขาว่า “ไม่หรอก...ผมอนุญาตไม่ได้
รุ้งอยู่ในห้องนี้ก็สบายดีอยู่แล้วนี่”
“รุ้งจะไม่ก่อเรื่องหรอกค่ะ ลองให้รุ้งไปเรียนก่อนเถอะ...
รุ้งสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ รุ้งจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ให้รุ้งไปเถอะนะ”
ดิฉันวิงวอน
แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่พัศดีก็อนุญาตในที่สุด
ดิฉันมีความสุขมากกับอิสรภาพเล็กๆที่ได้รับ
อากาศภายนอกทำให้ดิฉันปลอดโปร่งและมีชีวิตชีวา
อีกทั้งครูและเพื่อนนักโทษในชั้นไม่ได้เป็นคนดุร้ายเลย
ทุกคนดีใจที่ดิฉันไปร่วมเรียนด้วย และให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
แต่อิสรภาพที่ดิฉันได้รับมันเป็นช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น
เพราะพัศดียอมให้ดิฉันไปเข้าชั้นเรียนอย่างเดียว
พอเรียนเสร็จต้องรีบกลับมาที่ห้องไม่ยอมให้แวะที่อื่น
ในตอนแรกพัศดีให้ผู้คุมคนหนึ่งติดตามดิฉันไปด้วยเพื่อเฝ้าดูว่าจะมีปัญหาอะไรบ้าง
แต่เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย วันต่อมา เขาเลยยอมปล่อยให้ดิฉันไปคนเดียว
และแล้วในเย็นวันหนึ่ง... ซึ่งเป็นวันที่ดิฉันไม่เคยลืมเลย
ดิฉันเดินกลับมาตามทางเดินเล็กๆพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข แต่ในระหว่างทาง
ดิฉันได้ยินเสียงกุกกักในซอยเล็กๆ
ด้านซ้ายซึ่งเป็นทางเดินไปห้องเก็บของและมีเสียงกรีดร้องออกมาเบาๆ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ดิฉันเดินช้าๆเข้าไปในซอยนั้น
ค่อยๆย่องตรงไปยังที่มาของเสียง พอถึงซอกตรงหน้าห้องเก็บของ
ดิฉันก็ยื่นหน้าออกไปดู
ทันใด ดิฉันก็เห็นผู้คุมคนที่รังแกดิฉันในวันแรกที่มีชื่อว่า แตน
กำลังลากเด็กสาวนักโทษคนหนึ่งขึ้นมาเหมือนตุ๊กตาตัวเล็กๆ
ดิฉันหมอบลงและจ้องดู อยากรู้ว่าเธอจะทำอะไร
เด็กสาวนักโทษคนนั้น อายุราวๆสิบเก้า ท่าทีตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แต่บริเวณนี้มันเงียบและไม่มีคนเดินผ่านไปมาเลย
จึงไม่มีใครซักคนจะรู้ถึงความผิดปกตินี้นอกจากดิฉัน
เด็กสาวคนนั้นร้องระล่ำระลัก ในขณะที่ถูกจัดการโดยแตน
ดิฉันเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน แม้จะเป็นมุมสลัวๆ เพราะมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แตนผลักร่างเด็กสาวให้ไปพิงผนังห้อง ร่างใหญ่ของเธอบังร่างเด็กสาวจนมิด
เด็กสาวคนนั้นดิ้นพล่านขณะที่ถูกทับจนหายใจไม่ออก แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งอ่อนแรง
เพราะสัดส่วนของรูปร่างต่างกันสุดกู่ แค่แตนใช้มือเดียวรัดคอ
เธอก็หนีไม่รอดแล้ว
ดิฉันอยากจะเบือนหน้าหนี
อยากจะยกมือขึ้นมาอุดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงครางที่เต็มไปด้วยความกลัว
แต่ใจอีกส่วนหนึ่งก็บอกให้อยู่ เพื่อจะดูเหตุการณ์นี้
หรือไม่ก็หาทางทำอะไรซักอย่างเพื่อช่วยเธอ
ดิฉันตกตะลึงเมื่อแตนใช้มือถลกเสื้อของเด็กสาวคนนั้นขึ้น
อกทั้งสองข้างของเธอก็เผยออกมาให้เห็นมันเป็นกระเปาะได้รูปขนาดพอดีมือแต่ดูเล็กมากเ
มื่อเทียบกับมือของคนที่กำลังทำร้ายเธออยู่
ดิฉันเห็นหัวของแตนฝังลงในทรวงอกอย่างตะกละตะกรามและอุ้งมือเหมือนหมีของเธอก็ตะปบลง
บนเต้านมอีกข้างหนึ่ง
ขยำคลึงเคล้นเหมือนเป็นดินเหนียว เด็กคนที่ถูกทำร้ายร่างกาย
ถูกเบียดแน่นติดอยู่กับกำแพงห้อง
คอของเธอหงายไปข้างหลังจนเห็นเส้นเอ็นที่คอโป่งออกมาเหมือนเชือกสีแดงสด
ดวงตาของเธอหรี่ปรือจนเหลือเป็นช่องเล็กๆด้วยความเจ็บปวด
และริมฝีปากก็เผยอขึ้นมาพลางกรีดร้องเสียงแหบแห้ง
แตนเอามืออวบใหญ่ปิดปากเธอไว้ไม่ให้มีเสียงลอดออกมา
ขาของเด็กสาวนั้นกระตุกสั่นไปทั่ว
ขณะที่แตนเลื่อนมือลงมาบีบรอบคอเด็กสาวจนแน่น แขนของเธอโบกเปะปะไปมาในอากาศ
แตนก้มหน้าลงจู่โจมหน้าอกที่กลมกลึงนั้นอย่างป่าเถื่อน
เธอฝังหน้าอยู่ที่เต้าเล็กๆทั้งสองของเด็กสาวซึ่งกำลังดิ้นรนเป็นพัลวัน
มือน้อยๆทั้งสองพยายามผลักไส แต่แตนก็ถอนหน้าออก
แล้วกำหมัดชกไปที่ท้องของเด็กสาว เธอสะดุ้งเฮือกหน้าฟุบลงสั่นสะท้านไปทั้งตัว
แต่ยังพยายามขัดขืนเพื่อดึงตัวเองออกจากร่างมหึมาของแตน
ทั้งๆที่ยังตัวอ่อนปวกเปียก เธอผลักไหล่ของแตนอย่างอ่อนแรง
และพยายามคลายตัวออกมา แต่ศีรษะอันเทอะทะก็ยังฝังร่างอยู่อย่างนั้น
และเสียงหวีดหวิวในลำคอของเธอ
ก็ถูกกลบโดยเสียงลามกที่ดังก้องออกมาในขณะที่เนื้อหนังนวลเนียนของเธอถูกสวาปามอย่าง
หื่นกระหายของแตน
แตนยังทำค้างอยู่ในลักษณะนั้น ปากป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ตามร่างของเด็กสาว
คำรามและเคี้ยว เกือบจะซุกตัวอยู่บนเข่า พลางดึงเด็กสาวให้โยกไปกับเธอด้วย
เด็กสาวคนนั้นไม่มีกำแพงเป็นที่พิง แต่แตนก็เอื้อมมือขึ้นไปดุนหลังของเธอ
เพื่อให้เธอทรงตัวอยู่ได้ แล้วจึงปล่อยเด็กสาวลงช้าๆ
จนเธอแผ่อ้าซ่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
แตนเหยียดตัวลงบนช่องท้องของเธอ
และถ่างขาเด็กสาวให้ห่างขึ้นไปอีกโดยใช้ไหล่กว้างดันเข้าไปตรงกลางและใช้แขนกดขาทั้ง
สองข้างเอาไว้
เด็กสาวระล่ำระลักออกมาเหมือนกระต่ายที่บาดเจ็บ
แต่ร่างบอบบางของเธอเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
หัวของแตนจึงเคลื่อนได้อย่างอิสระและไม่ถูกขัดขวางอยู่ตรงหว่างขา
แล้วอุ้งมือที้งสองก็เลื่อนคลำไปบนร่างของเด็กสาวใหม่ บีบเข้าไป หยุด
เคลื่อนต่อไป ฝังเข้าไป พลางคลึงก่อนเนื้ออันอ่อนนุ่มบนหน้าอก กระหน่ำลงไปอีก
และทรวงอกของเธอก็ถูกพิชิตอีกครั้งด้วยการขยำอันรุนแรง
ที้งเคล้นทั้งดึงกระชาก
ในระหว่างที่สวาปามเหยื่อ
แตนเริ่มใช้ไหล่ทั้งสองกระทุ้งและผลักเด็กสาวคนนั้นจนกระทั่งศีรษะของเธอกระแทกเข้ากับกำแพงอีก
ต่อจากนั้น แตนก็ดันแรงขึ้น ผลักจนสะโพกของเธอหักเป็นมุมกับพื้น
แล้วก็ตอกเธอเอาไว้ตรงนั้น พลางจับขาของเธอห้อยอย่างหมดแรงอยู่ในอากาศ
การทำร้ายยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ อุ้งมืออันมโหฬารกระหน่ำขึ้นๆลงๆ บนทรวงอก
กดเข้าไปตรงยอดสีชมพูอย่างป่าเถื่อน นิ้วมือของแตนคล้นลงไปเหมือนฟันยักษ์
ศีรษะของเธอฝังลึกลงไปเรื่อยๆในหว่างขาที่เต็มไปด้วยพงขนดกดำ
พลางใช้ปากยึดเอาไว้
เด็กสาวคนนั้นเจ็บปวดมาก
และหนีบมือทั้งสองเข้ากับหัวราวกับจะกดกะโหลกศีรษะตัวเองให้แหลกละเอียด
แต่อีกครั้งหนึ่งที่การปั่นอย่างเร่าร้อนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
โต้ตอบครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กสาวคนนั้นบิดตัวและคำราม
ในขณะที่แตนใช้จมูกซูกไซร้ดื่มกินอย่างตะกละตะกราม
เสียงนั้นป่าเถื่อนขณะที่เด็กสาวกรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในขณะที่ความรุนแรงไม่เคยลดลง
เด็กสาวคนนั้นเจ็บปวดจนบิดเบี้ยวไปทั้งตัว เหงื่อแตกพลั่ก น้ำตาไหลพราก
แต่ไม่เคยมีความเมตตาจากคนที่อยู่เบื้องหน้า แตนไม่เคยหยุด
ปากของเธอไม่เคยละจากสามเหลี่ยมทองคำของเด็กสาวเลย
แตนฉวยข้อเท้าของเด็กสาวขึ้นมา และแขวนให้ห้อยหัวอย่างทารุน
จับร่างเล็กๆที่บอบบางพุ่งเข้าไปดันจนติดกำแพง แล้วแหกขาเธอให้กางออกไป
พลางถืออย่างเหนียวแน่นราวกับคืมเหล็ก
และจุ่มหัวลงไปยังความสาวเหมือนหมูที่ตะกละตะกราม
เด็กสาวคนนั้นนิ่งเงียบไป ไม่มีการโต้ตอบอีกแล้ว
แต่ผู้คุมร่างยักษ์ขังคงขย้ำทำลายเรือนล่างของเธอต่อไป
ปล่อยให้เธอห้อยจากปากเหมือนปมเชือกที่พันกันจนยุ่ง
ความคิดที่จะช่วยเหลือหายไปจนหมดสิ้น น้ำขมๆ ไหลออกจากกระเพราะของดิฉัน
ดิฉันเดินกลับมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องของดิฉัน อาเจียนครั้งแล้วครั้งเล่า
จนตัวเบาโหวงและหมดแรง
ดิฉันทิ้งตัวลงบนเตียงกำหมัดแน่นจนเล็บแทงเข้าไปในอุ้งมืออย่างเจ็บปวด
ดิฉันทนความกลัวต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
ได้ยินเสียงตัวเองอ้อนวอนกับใครหรืออะไรซักอย่างที่มีอำนาจจะฟังดิฉัน
ดิฉันกรีดร้อง ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ สำนึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง
ถ้าให้โอกาสดิฉันย้อนกลับไปได้ดิฉันสัญญาว่าจะทำตัวเป็นคนดี
จะไม่ยอมแตะต้องกับสิ่งชั่วร้ายที่ทำลายอนาคตของทุกๆคนรวมทั้งตัวเองเลย
ดิฉันร่ำไห้อย่างคลุ้มคลั่งเหมือนกับคนสติแตกที่เฝ้าอ้อนวอนกับใครซักคนหวังว่าจะมีใครที่ได้ยิน
แต่ใครคนนั้นคงมีงานยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจคนที่ต่ำต้อยไร้ความหมายอย่างดิฉัน
จึงไม่มีใครตอบลงมาได้เลย
มีแต่เพียงเสียงครวญอันว่างเปล่าของตัวเองดังสะท้านอยู่ในความเงียบนั้น...
คืนนั้นดิฉันนอนกระสับกระส่ายด้วยความหวาดกลัว
พยายามขับไล่ภาพที่โหดร้ายไปจากหัว ได้ยินเสียงใบไม้แกว่งไปมาในสายลมหนาว
มีเสียงกรอบแกรบ เสียงครางกระซิบ เสียงคำรามของผู้คุม
และเสียงร่ำไห้ของเด็กสาวคนนั้น
ดังแว่วปะปนอยู่ในหัวซึ่งแยกไม่ออกระหว่างเสียงจริงกับเสียงที่จิตสำนึกสร้างขึ้น
น้ำตาไหลพรากด้วยความอ่อนแอและคิดถึงบ้าน
ดิฉันซุกตัวเข้ากับผ้าห่มและดึงให้กระชับเข้ามา เพราะรู้สึกหนาวยะเยือก
ราวกับมีก้อนน้ำแข็งสถิตอยู่ในวิญญาณ
นอนกอดตัวเองอย่างสั่นสะท้านอยู่ในความโดดเดี่ยวนั้น...
แม้ใจจะยังหวาดหวั่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่วันต่อมาดิฉันก็ไปเรียนตามปกติ
ดิฉันก็ได้ยินพวกเพื่อนๆนักโทษพูดกันถึงเรื่องนี้
ผู้คุมคนหนึ่งไปพบเธอนอนเปลือยขดตัวร้องไห้ครวญครางอยู่ตรงมุมห้อง
ผมของเธอยุ่งเหยิง หัวนมถูกเคี้ยวจนห้อย รอยเล็บอยู่เต็มเรือนร่างของเธอ
ขาอ่อนถูกแทะจนฉีกขาด เธอได้แต่ร้องไห้ ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น
ตกอยู่ในห้วงนรกทั้งเป็นอย่างน่าสงสาร
สติฟั่นเฟือนหมดความกลัวต่อเรื่องใดๆอีกต่อไป
แต่ใครล่ะเป็นผู้ผิด ไม่มีใครต้องการหาความจริงจากเรื่องนี้
ทุกคนพร้อมใจกันปิดมันเป็นความลับ
และโยนมันซุกไว้ใต้พรมเหมือนเรื่องเลวร้ายระยำเรื่องอื่นๆที่เกิดขึ้นที่นี่
ดิฉันกลับมาที่ห้องด้วยความโกรธและผิดหวัง
เด็กสาวคนหนึ่งแทบจะตายเพราะความป่าเถื่อนแต่คนชั่วที่ทำร้ายเธอยังลอยนวลอยู่ได้
เย็นวันนั้นขณะที่ดิฉันนอนอยู่บนเตียงก็เห็นพัศดีเดินเข้ามาในห้อง
ดิฉันจึงลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง เขาเดินมานั่งข้างๆ
“เป็นไงรุ้ง ได้ออกไปข้างนอกแล้วหายเหงาบ้างมั๊ย”
ดิฉันนิ่งเฉยไม่ตอบคำ ด้วยความรู้สึกโกรธเขาอย่างรุนแรง
เขามีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ที่สุด เพราะเขาเป็นคนคุมที่นี่
แต่เขาก็ให้ท้ายอีแตน ปล่อยให้ทำเรื่องเลวๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และเธอก็ย่ามใจทำหนักขึ้นทุกที ดิฉันรู้ถึงความโหดร้ายของเขา
ซึ่งทำให้ดิฉันเกิดความชิงชังไม่อยากจะคุยกับเขาอีก
“เป็นอะไรไม่สบายใจอะไรอีกหรือรุ้ง” เขาถามเมื่อเห็นดิฉันนิ่งเงียบ
คงรู้สึกถึงความโกรธของดิฉัน แต่ดิฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร
“โกรธอะไรผมอีกล่ะรุ้ง รุ้งนี่เจ้าอารมณ์จริงๆ” เขาพูดอย่างหงุดหงิด
ไม่มีทีท่าจะสำนึกถึงความผิดของตัวเอง
“รุ้งได้ยินมาว่ามีนักโทษถูกทำร้ายเมื่อคืนนี้” ดิฉันพูดเสียงเรียบๆ
พยายามระงับความโกรธไม่ให้ระเบิดอารมณ์มาในน้ำเสียง
ถึงอย่างไรดิฉันก็ไม่มีอำนาจไปบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ดิฉันอยากเห็น
“รุ้งไปรู้มาจากไหน” เขาพูดอย่างแปลกใจ “ผมสั่งให้ทุกคนหุบปากแล้วนี่นา”
“ใครๆก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น ไม่มีใครปิดอะไรได้หรอก” ดิฉันพูดอย่างเย็นชา
“มีนักโทษถูกทำร้ายจริง” เขายอมรับ “แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนทำคือใคร
เด็กสาวคนนั้นสติฟั่นเฟือน และไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรเราได้”
“โกหก”
ดิฉันหลุดปากต่อว่าเขาไปตรงๆ ซึ่งทำให้เขาหน้าแดงด้วยความโกรธ
“ท่านรู้...ท่านรู้ทุกอย่าง แต่ท่านไม่สนใจจะจัดการอะไรต่างหาก..”
ดิฉันระเบิดอารมณ์ด้วยความอึดอัด และตึงเครียด โกรธเขา
โกรธตัวเองที่ไม่เข้าไปช่วยเด็กคนนั้นและทำให้เธอต้องเป็นบ้า
ความละอายใจในความขี้ขลาดของตัวเองทำให้ดิฉันระบายอารมณ์ใส่เขา
ดิฉันร้องไห้ตะคอกใส่เขาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ท่านไม่สนใจเรื่องระยำอะไรที่นี่ทั้งนั้น นอกจากคิดจะหาเงินอย่างเดียว
ไอ้อุบาทว์ ไอ้ชาติชั่ว ให้ท้ายลูกน้อง”
“หุบปากนะรุ้ง” เขาตะคอกกลับ “ผมดีกับรุ้งขนาดไหน แต่รุ้งไม่เคยสำนึกในบุญคุณ
กลับมาด่าผมอีก รุ้งนี่ชักจะมากไปแล้วนะ”
“ดีต่อกูน่ะรึ” ดิฉันสติแตกไปแล้ว จึงไม่กลัวอะไรอีกต่อไป
แต่ยืนตอบโต้เขาอย่างไม่เกรงกลัว มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
“มึงจะหาเงินจากกูต่างหากล่ะ มึงมันก็ไอ้แค่แมงดาตัวหนึ่งเท่านั้นแหละวะ”
เขาโกรธจนปากคอสั่น พี่แก้วกับผู้คุมชายคนหนึ่งได้ยินเสียงจึงวิ่งเข้ามาดู
เขาหันไปสั่งคนทั้งสอง
“จับตัวเธอไป.. เอาไปขังเดี่ยว งดให้อาหารเธอด้วย”
เขาคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น