วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ไม่เหมือนอาทิตย์ไหน ๆ ผมตื่นขึ้นพร้อมกับความกังวลเล็ก ๆ นี่ผมต้องบอกเรื่องทุกอย่างกับคุณพ่อจริง ๆ เหรอ แล้วมันจะเป็นอย่างที่พี่พิมบอกรึเปล่า มันจะง่ายเหมือนในความฝันไม๊นะ ผมเดินเหม่อออกจากห้องคุ่นคิดไปตามทาง
"อ้าวกล้า เป็นอะไรเดินเหม่อเชียว คิดถึงเรื่องนั้นเหรอ"
"ครับพี่พิม พ่อจะไม่ว่าผมจริง ๆ นะ"
"เชื่อพี่สาวคนนี้เถอะ ยังไงกล้าก็ผัวพี่เหมือนกัน พี่ไม่หลอกเธอหรอกน่า" เธอกระซิบเสียงกระเส่าจนผมขนลุกไปเหมือนกันเมื่อได้ยิน พอเราเดินถึงบันใดมองลงไปก็เห็นพ่อในชุดสูทกำลังจะเดินออกจากบ้านพร้อมแม่นก ผมก็งง ๆ เพราะวันอาทิตย์พ่อไม่มีทำงาน
"พ่อครับรอเดี๋ยวอย่าพึ่งไป ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ" ผมตะโกนรีบวิ่งลงไป เมื่อประจันหน้ากัน แม่นกดูเหมือนไม่สนใจผม แต่ผมนี่สิคิดถึงความฝันขึ้นมาอีก แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก
"เอาไว้ตอนเย็นนะ พ่อมีประชุม สำคัญมาก เอ้า... ทรง เอารถออกเร็ว" ฟังน้ำเสียงพ่อสั่งน้าทรงคนขับรถดูเหมือนท่านจะรีบมาก ผมยืนมองจนรถแล่นผ่านประตูรั้วไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
"อุ้ย!!!"
"ยืนเหม่ออีกแล้ว เป็นไง" แค่พี่พิมแตะผมเบา ๆ กลับทำให้ผมสะดุ้ง
"ยังไม่ได้บอกเลยครับ พ่อบอกมีประชุม จะคุยอะไรไว้ตอนเย็น"
"งั้นก็ว่างน่ะสิ มานี่เลยพ่อตัวดี" พี่พิมขยิบตาคว้าข้อมือจะดึงผมไปเล่นผีถ้าห่ม
"ไว้ก่อนนะพี่ ผมรู้สึกยังไงไม่รู้ มันแปลก ๆ"
"ใช่สิ ได้พี่แล้วจะทิ้งใช่ไม๊" พี่พิมกอดอกทำท่างอนแก้มป่อง
"ไม่ใช่อย่างนั้นเอาไว้คืนนี้แล้วกันนะครับ... ที่รัก" ผมหอมแก้มเธอทีนึงมัดจำไว้
"ก็ได้" เธอเดินอารมณ์ดีไปนั่งกับน้อง ๆ และแม่ ภาพที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ห้องรับแขกที่อบอวนไปด้วยความสุข เต็มได้ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนในบ้าน ที่ไม่ต้องแบ่งพักแบ่งฝ่าย ผมมองไปที่ห้องกินข้าว ไอ้เทพนั่งกินผลไม้อยู่คนเดียว ผมจึงหยิบเบียร์กระป๋องในตู้เย็นแล้วไปนั่งคุยกับมัน
"เบียร์แต่เช้าเลยนะ ว่าแต่... กวาดครบแล้วสิพี่" คำแรกที่มันพูดกับผมช่างกวนบาทาซะเหลือเกิน
"ทำไมมึงถามอย่างนี้วะ"
"ก็เห็นหอมแก้มพี่พิมอยู่แหมบ ๆ แล้วดูดิ มันเป็นไปได้ที่ไหนที่สาว ๆ พวกนั้นจะคุยกันกระหนุงกระหนิงได้แบบนั้น"
"เออ... ครบก็ครบ ว่าแต่มึงไม่ว่ากูนะ"
"ผมบอกแล้วว่ามันเรื่องของพี่ ถึงพี่พิม พี่แพร พี่พลอย จะเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของผม แต่ถ้าเค้ายอมผมจะไปว่าอะไร แล้วแบบนี้มันก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงทะเลาะกัน"
"แล้วของมึงล่ะ เป็นไงบ้างวะ"
"ก็ดีพี่มันไม่งอแงไม่ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่รู้สึกว่า แมวมันจะท้องว่ะ"
"อ้าว!!! แล้วมึงทำไงวะ"
"ก็ไม่ทำไง เดี๋ยวบอกพ่อก็สิ้นเรื่อง เด็กคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้" ผมฟังไอ้เทพพูดทำให้หวนนึกถึงตัวเอง ความกล้าที่จะพูดที่จะทำอะไร ผมสู้มันไม่ได้จริง ๆ ถ้าผมเป็นมันความคิดแรกคือเอาเด็กออกแน่ ๆ เฮ่อ!! เย็นนี้ผมจะเริ่มต้นพูดกับพ่อยังไง คิดแล้วก็กลุ้มต้องหยิบเบียร์ขึ้นซด ผมคุยสัพเพเหระกับไอ้เทพเกือบ 20 นาที จู่ ๆ ผมก็สำลักพ่นเบียร์ออกมาเป็นสายเลอะไปหมด
"เป็นไรพี่"
"เปล่า... ไม่รู้" แล้วทุกคนก็ต้องตะลึง
"คุณผู้หญิง... คุณผู้หญิง" น้าทรงวิ่งหน้าตั้ง เป็นครั้งแรกที่แกเข้ามาบนเรือนหลังใหญ่ หัวแกแตกเลือดอาบหน้า เสื้อที่โชกไปด้วยเลือดแดงฉานแต่ดูแล้วมันไม่ใช่เลือดแก
"เป็นอะไรน้าทรง พ่อกับแม่นกล่ะ" ผมถามด้วยความร้อนใจ ทุกคนกรูเข้ามาถามด้วยความตื่นตระหนกกับภาพที่เห็น น้าทรงพูดจาไม่ได้สรรพ จับใจความได้อย่างเดียวว่าอยู่โรงพยาบาลชื่ออะไร เพียงเท่านั้นผมกับไอ้เทพก็วิ่งออกจากบ้านทันที
"พี่กล้าไปรถผม" เพราะรถมันแรงกว่า พอผมถึงโรงพยาบาลก็เหมือนคนบ้าวิ่งเข้าหาเคาน์เตอร์ถามชื่อพ่อผมทันที ทุกคนมองผมเป็นตาเดียว เพราะความตกใจและรีบจึงออกมาทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุดกางเกงบาสตัวเดียว แต่ผมไม่สนใจสายตาใคร พอรู้ว่าอยู่ ICU ก็รีบวิ่งตรงดิ่งไปทันที แต่เข้าไปไม่ได้ ผมนั่งอยู่หน้าห้องประมาณ 10 นาที แม่กับทุกคนก็มารวมทั้งน้าทรงที่มาทำแผลด้วย ไม่นานหมอที่อยู่ในห้องก็เปิดประตูเดินออกมา
"ใครชื่อไตรเทพครับ ผู้ป่วยต้องการพบ" ผมรีบวิ่งเข้าไป
"พ่อ!!!" ภาพที่เห็นทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สายที่ละโยงละยางไปทั่ว รอบคอถูกใส่ด้วยเฝือก
"เข้ามาใกล้ ๆ สิกล้า" เสียงที่เบาแทบไม่ได้ยินเรียกให้ผมเดินเข้าไป
"ครับพ่อ" ผมก้มลงพูดกับท่านในสภาพน้ำตานองหน้า ไม่เหลือเค้าโครงความเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งอยู่เลย พ่อยกมือลูบที่หน้าผมด้วยความเอ็นดู แววตาที่ยังอบอุ่นอยู่เสมอยิ่งทำให้น้ำตาผมไหล
"อย่าร้องไห้... ดูแลคนในบ้านด้วยนะ พ่อรู้ว่าลูกทำได้" สิ้นเสียง เปลือกตาท่านก็หลับลงช้า ๆ เส้นที่แสดงการเต้นของชีพจรขีดเป็นเส้นตรง ผมคิดในใจไม่ใช่... นี่ไม่ใช่ในหนัง พ่อต้องไม่ตาย
"พ่อ... พ่อตื่นสิพ่อ.... พ่อ!!!!!!!!!!" ผมกำมือท่านแน่น แหกปากลั่นห้องจนหมอต้องเข้ามาเอาตัวผมออกไป และในที่สุดเราก็ได้รับรู้ความจริงว่าเกินอะไรขึ้น ระหว่างที่น้าทรงขับรถอยู่นั้น มีพวกขับรถแข่งกันผ่าไฟแดงเข้ากระแทกด้านซ้ายของรถอย่างจัง แม่นกซึ่งนั่งด้านหลังทางซ้ายคอหักสิ้นใจทันที น้าทรงคาดเข็มขัดจึงแค่หัวแตก ส่วนคุณพ่อนั่งหลังคนขับ ถูกร่างแม่นกกระเด็นมากระแทกอัดกับประตู หัวท่านกระแทกกระจกอย่างแรงเลือดคลั่งในสมองกระดูกคอเคลื่อน และซี่โครงหักมีเลือดออกในช่องท้อง หมอบอกว่าแปลกมากที่ยังทนพิษบาดแผลจนมาคุยกับผมได้
ประมาณครึ่งชั่งโมงแห่งความโศกเศร้าของทุกคน ไม่รู้เลยว่าเราจะดำเนินชีวิตกันอย่างไร จับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ ๆ ก็มีชายคนนึงเดินเข้ามา ซึ่งก็ดูคุ้น ๆ หน้าอยู่บ้าง
"ผมเป็นทนายของคุณสิทธิพงศ์ครับ ขอเชิญทุกคนกลับไปรอที่บ้านก่อนทางนี้ผมจะจัดการให้เอง" พวกเราค่อนข้างงง แต่น้าทรงบอกว่าพอรถชนพ่อก็บอกให้โทรหาทนายทันที เราจึงกลับบ้าน บรรยากาศอึมครึมต่างกับตอนเช้าลิบลับ ประมาณ 4 โมงเย็น ทนายของคุณพ่อก็เข้ามาที่บ้าน
"ขอโทษครับ นี่เป็นประสงค์ของคุณสิทธิพงศ์ที่ให้ดำเนินการทันทีที่เกิดอะไรขึ้นกับท่าน" เค้าวางกระเป๋า เปิดมันออกหยิบเอกสารออกมา ภายในบอกไว้ทุกอย่างและยังมีรายมือที่พ่อคุณเขียนไว้ด้วยว่าถ้าท่านเป็นอะไรไปให้ฌาปนกิจที่วัดไหน
"คุณสิทธิพงศ์ มีความประสงค์ให้แบ่งทรัพย์มรดก ดังนี้ บ้าน 1 หลังราคาประเมิน 15 ล้านเป็นของนายไตรเทพ ส่วนทรัพย์สินอื่นทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ให้แบ่งเท่า ๆ กัน หากผู้ใดที่มีรายชื่อแต่ถึงแก่กรรมให้จัดสรรเพิ่มให้คนอื่นตามส่วน ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดมีราคาประเมิน 103 ล้านบาท รายชื่อมีดังต่อไปนี้" ทนายของคุณพ่อพูดไปเรื่อย โดยไม่ค่อยมีใครสนใจฟังเพราะยังเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ชะงักพร้อมกัน เมื่อยังมีชื่อต่อจากเด็กหญิงหยดน้ำฟ้า ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้าย
"คนสุดท้ายธิดาซึ่งเกิดกับนางสาวมาเรีย นางสาวมิชเชล เกิดเมื่อวันที่..." พอแม่ได้ยินน้ำตาก็ร่วงเป็นหยด เธอคงนึกไม่ถึงว่าพ่อจะยังมีคนอื่นอีก ซึ่งฟังจากปีเกิดของมิชเชลแล้วอ่อนกว่าพี่พิม 1 ปี คืออายุ 20 เท่ากับว่าแม่ผมเป็นคนที่ 3 ของพ่อด้วยซ้ำไป
"ที่ผมจะพูดคงมีเท่านี้ครับ แล้วผมจะรีบจัดการเรื่องอื่น ๆ โดยเร็ว ผมขอตัวก่อนครับ" เมื่อทนายผ่านพ้นประตูบ้านออกไปแม่โผเข้ากอดผม ร้องไห้ปานจะขาดใจทันที จนผมต้องปลอบอยู่พักใหญ่ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยจริง ๆ ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวไปแล้วทั้งจากพินัยกรรม และคำสั่งเสียของคุณพ่อก่อนท่านจะสิ้นลม ผมบอกกับตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง แต่ก็ไม่วายน้ำตาไหลริน
งานศพของคุณพ่อและแม่นกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ เครือญาติต่างพากันมาเคารพศพแสดงความเสียใจ มีบรรดาผู้ใหญ่ในแวดวงธุรกิจมากันมากมาย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าคุณพ่อเป็นเหมือนผู้ยิ่งใหญ่
"เสียใจด้วยนะกล้า" ถ้าผมจำไม่ผิดนี่คือคุณลุงประยุทธ์เพื่อนของคุณพ่อที่ผมเคยเจอในงานวันรวม
"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้พูดเสียงเศร้า
"สวัสดีค่ะ" เสียงหวาน ๆ ดังออกมาจากด้านหลังคุณลุง น้องมุกเผยตัวออกมายกมือไหว้ผม เธอยังคงน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง
"สวัสดีจ้า มาครับเดี๋ยวผมจะพาไปจุดธูป" พี่พิมกับพี่แพรนั่งอยู่หน้าศพจุดธูปให้กับทั้ง 2 คน
"ใครชื่อไตรเทพ" ผมหันกลับไปตามเสียงก็พบ หญิงชุดดำใส่แว่นตากันแดดดูมีอายุ ข้าง ๆ เธอมีหญิงสาวอีกคน ถึงจะใส่ชุดดำแต่ก็ออกไปทางเปรี้ยว ๆ ทั้งคู่หน้าตากระเดียดไปทางชาวต่างชาติ หรือว่า...
"ชั้นชื่อมาเรีย ใครชื่อไตรเทพ" เสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้เมื่อเธอมองไปที่รูปของคุณพ่อ
"ผมครับ" เธอเดินเข้ามาแตะแขนผมเบา ๆ แล้วเดินไปที่พี่พิม เธอถอดแว่นออกดวงตาแดงก่ำไม่แพ้แม่ผมและทุกคนในบ้าน เธอรับธูปแล้วไหว้อยู่นานเหมือนกำลังคุยกับคุณพ่อ ปักธูปเสร็จเธอก็หันมา
"มาไหว้พ่อสิ" แต่เธอไม่ได้มองทางผม
"เร็วเข้ามินต์" หญิงสาวอีกคนเดินเข้าไปรับธูปไหว้พ่อผมแบบไม่ค่อยเต็มใจ ไม่ผิดแน่นี่คือมินต์หรือมิชเชลพี่สาวผมอีกคนที่เอ่ยถึงในพินัยกรรม ผมพาทั้งคู่เดินไปหาคุณแม่
"แม่ครับนี่คุณมาเรีย" แม่ยกมือขึ้นไหว้เธอก่อน ซึ่งคุณมาเรียก็รับไหว้ แต่หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างไม่ออกอาการใด ๆ จะยกมือไหว้แม่ผมก็ไม่มี
"คงรู้เรื่องพินัยกรรมแล้วใช่ไม๊ จริง ๆ แล้วชั้นก็ไม่ได้ต้องการอะไร เพียงแต่คงลำบากถ้าชั้นจะต้องเลี้ยงมินต์โดยลำพัง"
"ค่ะ ดิฉันเข้าใจ"
"ชั้นอยากจะให้มินต์เข้าไปอยู่ในบ้านคุณพงศ์ด้วยคน ในฐานะที่เธอก็เป็นลูกคนนึงของคุณพงศ์เหมือนกัน"
"แล้วคุณล่ะคะ"
"ไม่ล่ะ... ชั้นจะกลับประเทศซักพัก ชั้นคงทำใจไม่ได้ที่จะต้องอยู่ในประเทศนี้ ประเทศที่คนรักของชั้นเพิ่งจากไป" เธอพูดน้ำตารินรอดแว่นออกมา แม่ผมก็เริ่มตาแดงขึ้นมาเช่นกัน
"ค่ะ ดิฉันจะดูแลลูกคุณพงศ์เป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงค่ะ"
"อีกประมาณอาทิตย์ ชั้นจะให้มินต์ย้ายเข้าไปนะคะ" คุณมาเรียไหว้แม่ผม โดยมีผมและแม่รับไหว้ตอบ หญิงสาวข้างคุณมาเรียยังคงยืนนิ่ง ผมไม่เข้าใจจริง ๆ พ่อเธอเสียทั้งคนแต่สีหน้าและแววตาเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น
ครึ่งเดือนหลังจากเสร็จสิ้นงานศพคุณพ่อกับแม่นก บ้านเราก็ได้รับสมาชิกใหม่ วันนั้นวันเสาร์มีแทกซี่บีบแตรหน้าประตู เมื่อรถเข้าจอดเทียบหน้าบ้าน มีผมกับแม่และพี่แพรออกมาต้อนรับ คุณมาเรียลงมาในชุดดำ หน้าตายังคงแสดงความโศกเศร้า ส่วนหญิงสาวที่ชื่อมินต์ ใบหน้ายังคงเฉยชาแต่ต้องยอมรับว่าเธอสวยมากพอ ๆ กับพี่พิมเลยแต่สวยคนละแบบ มินต์ขาวหน้าตาออกฝรั่งริมฝีปากอิ่มสีแดงอมส้ม ตากลมผมสีน้ำตาลอ่อนคาดด้วยที่คาดผมสีดำ เธอใส่เสื้อยืดตัวเล็กรัดรูปสีเขียวอ่อนนมต้มดันออกมาเป็นลูก กางเกงผ้าขาสั้นสีขาวรัดจนเห็นเนินนูนเป็นกลีบ ปลีน่องขาวเนียน นี่เธอลืมไปรึเปล่าว่าพ่อเธอเพิ่งเสียไม่ถึงเดือน
"สวัสดีค่ะ" คุณมาเรียไหว้ทักทายกับแม่ผม ก่อนจะเรียกคนขับรถช่วยกันขนของลง มันเยอะมาก
"ฝากด้วยนะค่ะ"
"ค่ะไม่ต้องเป็นห่วง"
"นี่มินต์ค่ะ ไหว้คุณแม่สิ" คุณมาเรียแนะนำมินต์ให้พวกเรารู้จัก เธอยกมือไหว้แม่ผมแบบขอไปที
"แพร... กล้า... ไหว้พี่มินต์เค้ารึยัง" ผมกับพี่แพรยกมือไหว้ทักทายเธอ แต่เธอไม่รับไหว้พวกผมด้วยซ้ำ สายตาพี่แพร ปะทะกับพี่มินต์ ให้ตายเถอะ บ้านผมจะกลับมาเกิดสงครามอีกครั้งใช่ไม๊เนี่ย
"เชิญเข้ามานั่งทานน้ำในบ้านก่อนสิค่ะ"
"ไม่ล่ะค่ะ ชั้นขอตัวกลับเลย สวัสดีค่ะ" คุณมาเรียขึ้นแทกซี่กลับ เหลือไว้เพียงหญิงสาวลูกครึ่งท่าทางจะเฮี้ยวกว่าพี่แพรเมื่อก่อนเสียอีก
"ช่วยพี่เค้ายกขึ้นห้องสิจ้ะ แพร... กล้า" ห้องที่พี่มินต์จะเข้าอยู่คือห้องเก่าผม เพราะผมย้ายมานอนห้องคุณพ่อ