ฉันรู้ดีว่าเรื่องราวที่กำลังจะเล่าให้พวกคุณฟังต่อจากนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ใครหลายๆ คนยากที่จะทำใจยอมรับได้ หรือหนักข้อไปกว่านั้น บางคนก็อาจจะนึกชิงชังจนถึงขั้นก่นด่าสาปแช่งให้ไปลงนรกกันก็มี ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้แหละ เพราะว่าไอ้สิ่งที่ตัวฉันได้ทำลงไปนั้น มันก็เลวร้ายสมกับที่เขาว่ากันจริงๆ...
ฉันชื่อ ‘นุช’ ค่ะ นุสบา จิตมงคล อายุตอนนี้ก็ 34 ย่าง 35 ปีแล้ว เรียกได้ว่าเลยวัยสาวมาพอสมควรเหมือนกัน ส่วนอาชีพปัจจุบันตอนนี้ก็เป็นแม่บ้านธรรมดาๆ นี่แหละค่ะ เพราะหลังจากที่แต่งงานกับสามีได้เพียงแค่ปีเดียว ฉันก็ดันพลาดท่าท้องลูกสาวขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจวางแผนเอาไว้ก่อน ทั้งๆ ที่เราสองคนก็แน่ใจว่าป้องกันไว้ในระดับนึงแล้วนะ ก็อย่างที่เขาว่ากันไว้นั่นแหละค่ะ ดวงคนมันจะเกิด หรือคนมันจะมีครอบครัว ต่อให้เอาอะไรไปขวางไว้ก็มีแต่จะป่วยการเปล่าๆ สุดท้ายด้วยความเห่อและห่วงลูก ‘พี่ดำ’ ผู้เป็นสามี ก็เลยตัดสินใจเอ่ยปากกึ่งบังคับกึ่งขอร้อง ให้ฉันยอมลาออกจากงานบัญชีที่ทำอยู่ มารับบทบาทเป็นคุณแม่ลูกอ่อนแบบเต็มตัว เพื่อที่จะได้มีเวลาคอยดูแลและเลี้ยงดูน้องชื่นใจ ลูกสาวตัวน้อยๆ ผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเราทั้งคู่อย่างดีที่สุด ซึ่งถึงตอนนี้ก็ผ่านมาได้เกือบๆ จะ 6 ปีเต็มแล้ว
ไอ้ช่วงปีแรกๆ น่ะมันก็ยังรู้สึกดีอยู่หรอกค่ะ ที่ได้มีโอกาสเฝ้ามองพัฒนาการของลูก ได้เห็นเขาเติบโตขึ้นทีละน้อยๆ จากที่ยังเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ก็ค่อยๆ ฝึกหัดกันไปจนเริ่มเก่งขึ้น จากคลาน 4 ขา กลายมาเป็นเดินเตาะแตะ จากที่ร้องอู้อ้า ก็กลายมาเป็นคำว่า ‘หม่าม้า’ มันคือสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่เท่านั้นที่จะได้รู้สึกอุ่นวาบๆ ภายในหัวใจแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่เป็นปีๆ ก็ตาม แต่ยิ่งนานวัน ไอ้ความสุขเหล่านั้นมันก็เริ่มที่จะถดถอยลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนเริ่มที่จะกลายเป็นความน่าเบื่อหน่ายแทน เพราะหลังจากที่ชื่นใจถึงวัยที่จะต้องเข้าเรียนในชั้นอนุบาล ชีวิตแม่บ้านของฉันมันก็เริ่มที่จะพบเจอกับช่วงเวลาแห่งความอ้างว้างและเหงาหงอยมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยได้ใช้เวลาอยู่กับลูกแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยามหลับและยามตื่น แต่ทุกวันนี้กลับลดเหลือเพียงแค่การตระเตรียมมื้อเช้า พาลูกไปโรงเรียน แล้วก็กลับมานั่งทำงานบ้านเงียบๆ ในช่วงสายๆ พอตกบ่ายคล้อยถึงจะค่อยออกไปรับลูกกลับบ้านอีกที เป็นแบบนี้วนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ยิ่งว่างก็ยิ่งเบื่อ ยิ่งเบื่อก็ยิ่งเหงา
ในขณะที่ตัวฉันทำหน้าที่แม่ศรีเรือน คอยจัดการเรื่องธุระต่างๆ ให้ภายในบ้าน ฝ่ายพี่ดำผู้เป็นสามี ก็เลยต้องรับหน้าที่เสาหลักของครอบครัว หาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะค่าน้ำไฟ ค่ากินค่าอยู่ ตลอดจนถึงเรื่องทุนการศึกษาของลูก ซึ่งมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นทุกทีๆ แต่เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาของเราเลยค่ะ เพราะนอกจากที่สามีจะเป็นคนขยันขันแข็งหมั่นอดออมเก็บเงินแล้ว ตัวฉันซึ่งเคยมีประสบการณ์ในเรื่องของการลงทุนมาบ้างนิดๆ หน่อยๆ ในสมัยทำงาน ก็เลยพอจะสามารถนำเงินเก็บเหล่านั้น เอาไปลงทุนต่อยอดให้มันงอกเงยเพิ่มพูนขึ้นมาได้อีกต่อหนึ่ง
ฉันกับพี่ดำเริ่มต้นคบหากันเมื่อราวๆ 12 ปีก่อน ตั้งแต่ในสมัยที่ฉันยังเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานแผนกบัญชี ในบริษัทดีลเลอร์รถยนต์ที่แกทำงานอยู่ ซึ่งตอนนั้นพี่เขาเองก็พึ่งเข้ามาทำงานในแผนกไอทีแบบหมาดๆ เหมือนกัน พอพี่ดำเจอหน้าฉันปั๊บแกก็รู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที จึงตัดสินใจเดินหน้าเข้ามาลุยจีบแบบไม่อ้อมค้อม ตามประสาของคนนิสัยตรงไปตรงมาอย่างแก ซึ่งในตอนนั้นฉันก็ยังไม่กล้าที่จะเล่นด้วยหรอกค่ะ ความที่ตัวเองก็ยังเป็นเพียงแค่นักศึกษาฝึกงาน ไอ้สิ่งที่สนใจในหัวตอนนั้นก็เลยมีเพียงว่า ตัวเองจะสามารถฝึกงานได้สำเร็จลุล่วงจนครบกำหนดหรือเปล่า ก็เลยไม่กล้าที่จะเสี่ยงสานความสัมพันธ์กับพนักงานรุ่นพี่ในบริษัท เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบกับเรื่องการฝึกงานนั่นเอง แม้ว่าลึกๆ แล้วจะแอบประทับใจในความชัดเจนของพี่ดำอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ
ซึ่งภายหลังจากที่ฉันฝึกงานจบ ทางฝั่งของพี่ดำเองก็ยังพยายามติดต่อสานความสัมพันธ์อยู่ไม่ห่าง โดยมักจะโทรมาคุยเล่นกับฉันเป็นเวลานานๆ แทบทุกคืน จึงทำให้เราทั้งคู่ยังคงรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันได้เสมอ แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยก็ตาม กระทั่งพอฉันเรียนจบและเริ่มต้นเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานนั่นแหละ เราทั้งคู่จึงตกลงปลงใจที่จะลองคบหาเป็นแฟนกันดูอย่างจริงๆ จังๆ ก่อนจะแต่งงานกันในที่สุด
พี่ดำเป็นผู้ชายที่ดีค่ะ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่หล่อเหลาอะไรมาก และไม่ถนัดในการอ่านความรู้สึกหรือมีมุมมองของความโรแมนติกที่เป็นศูนย์ แต่ขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลาย พูดจาสุภาพอ่อนหวาน ไม่เคยลงไม้ลงมือให้ฉันต้องเจ็บตัว และยังเป็นคนที่รักครอบครัวของตัวเองอีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติในข้อหลังนี่แหละค่ะ ที่ทำให้ฉันเชื่อว่าพี่เขาจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปได้ด้วยดีนะคะ เพราะด้วยความที่พี่ดำแกเป็นคนขยันหรือบ้างานนี่แหละ ก็เลยทำให้แกเลือกที่จะใช้เวลาในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เข้าไปทำโอทีล่วงเวลาเพิ่มอีกครึ่งวันอยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ฉันเองก็เคยเปรยๆ กับแกไปบ้างแล้ว ว่าควรจะใช้เวลาในวันหยุดที่มี เอามาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวให้มากกว่านี้หน่อย
“ไหนพี่สัญญาแล้วไง ว่าวันนี้จะพานุชกับลูกไปห้างด้วยกัน” ฉันโวยใส่สามีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างแรง เมื่อรู้ว่าพี่เขาเกิดติดงานด่วนขึ้นมากะทันหันในช่วงวันหยุดอีกแล้ว
“โธ่นุช... นุชก็รู้นี่นาว่าพี่เองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ในเมื่อระบบมันเกิดมีปัญหาขึ้นมา ทางหัวหน้าเขาก็ต้องเรียกให้พี่ไปดูไปซ่อม” พี่เขาอธิบายเสียงอ่อน
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่ให้เด็กคนอื่นไปทำแทนล่ะ ทำไมต้องลงทุนถ่อไปเองด้วย? ก็แค่ระบบล่มเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ?” ฉันพยายามซักไซ้ถามหาเหตุผลต่อไปเรื่อยๆ ตามประสาของคนจู้จี้ขี้บ่น
“ก็รอบนี้มันเวียนมาถึงคิวของพี่พอดีนี่นา นุชจะให้พี่ทำยังไงล่ะ? จะให้ไปเอ่ยปากบอกเขาว่า เฮ้ยน้อง วันนี้ช่วยไปทำงานแทนพี่ให้ที พอดีพี่จะพาลูกกับเมียไปเที่ยว นุชจะให้พี่พูดแบบนี้น่ะเหรอ?” เขาย้อน
“พี่เคยบอกนุชแล้วนี่นา ว่านี่มันก็ใกล้จะถึงช่วงประเมินผลประจำปีอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าพี่ทำงานเข้าตาผู้ใหญ่เขาสม่ำเสมอ ไม่แน่ว่าปีหน้าเขาอาจจะอนุมัติปรับตำแหน่งให้พี่จริงๆ จังๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้ แล้วถึงวันนั้น พอทุกอย่างมันมั่นคงดีแล้ว พี่ค่อยพานุชกับลูกไปเที่ยวด้วยกันก็ยังไม่สาย” พี่ดำร่ายยาว
อย่างที่คุณเห็นกัน พี่แกก็มักจะยกเหตุผลเรื่องความมั่นคงกลับมาเถียงได้ตลอดแหละค่ะ และในเมื่อแกเป็นคนหาเงินเข้าบ้านอยู่ฝ่ายเดียว ฉันเองก็เลยเถียงอะไรได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้ก็ยังต้องแบมือขอเงินจากพี่เขาอยู่ สุดท้ายก็เลยต้องยอมปล่อยให้แกบ้างานของแกไปได้เต็มที่ ซึ่งด้วยความอึดอัดคับข้องใจที่ว่ามานี้ ก็เลยทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะลองหากิจการเล็กๆ มาทำเป็นงานอดิเรกเสริมในยามว่าง นอกเหนือไปจากการเลี้ยงลูก โดยสิ่งแรกที่นึกออกเลยก็คือ การทำเบเกอรี่ขายนั่นเอง เนื่องจากตัวฉันเองก็ชอบหัดทำขนมพวกนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว และไหนจะเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งเตาอบ เครื่องไม้เครื่องมือ ตลอดจนถึงวัตถุดิบก็มีอยู่แล้วพร้อมสรรพ
ฉันลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือกับสามีอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งพอได้ไฟเขียวเห็นชอบจากอีกฝ่าย จึงตัดสินใจเริ่มต้นเดินหน้า ด้วยการไปเช่าพื้นที่ขายของเล็กๆ ในตลาดนัดแถวบ้านทันที โดยที่ในช่วงวันธรรมดา ฉันจะเปิดร้านตั้งแต่ตอนสายๆ ถึงแค่ช่วงบ่ายๆ เท่านั้น เพราะต้องไปรับลูกกลับจากโรงเรียน ส่วนในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็จะเปิดขายได้นานกว่า เนื่องจากสามารถพาชื่นใจไปนั่งเล่นอยู่ด้วยกันที่ร้านได้ ส่วนเรื่องพนักงานก็ไม่ต้องไปจ้างใครที่ไหนหรอกค่ะ ก็ดูแลไปเองนั่นแหละ ไหนๆ ก็มีเวลาว่างเยอะอยู่แล้วนี่
แรกๆ ก็เหมือนจะยังไม่ค่อยจะได้กำไรกลับมาสักเท่าไหร่ ด้วยความที่ฉันยังกะจำนวนสินค้าที่ขายได้ไม่แม่นยำนั่นเอง จึงทำให้มีขนมเหลือค้างในแต่ละวันเป็นจำนวนมากพอสมควร ซึ่งก็มักจะต้องลงเอยด้วยการนำไปแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านหลังข้างๆ หรือไม่ก็ฝากให้สามีเอาไปแบ่งให้เพื่อนร่วมงานกินอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากลองผิดลองถูกขายไปได้สักระยะหนึ่ง กิจการของฉันก็เริ่มดีขึ้นๆ ตามลำดับ จากแรกๆ ที่เคยมีของเหลือค้าง ก็เริ่มกลายเป็นขายหมด และขายดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่ตลาดนั้นอยู่ติดกับโรงเรียนมัธยม จึงทำให้ฉันได้ลูกค้าขาประจำกลุ่มใหญ่ เป็นพวกครูและนักเรียนที่แวะมาหาซื้อขนมไปกินในช่วงพักเที่ยง
การเปลี่ยนสถานะจากแม่บ้านมาเป็นแม่ค้า ทำให้สุขภาพใจของฉันเริ่มกลับมาสดใสและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง การได้ออกมาพบเจอผู้คนนอกบ้าน... ได้ทำงานอดิเรกที่ตัวเองรัก... และได้เห็นขนมที่ตัวเองตั้งใจปรุงแต่ง มีคนซื้อกลับไปกินด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ ทำให้ชีวิตประจำวันเริ่มไม่น่าเบื่อและหงอยเหงาเหมือนอย่างเคย... ฟังๆ ดูทุกอย่างก็เหมือนจะราบรื่นดีใช่มั้ยคะ? ตอนแรกฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งพอฉันได้ไปรู้จักและสนิทสนมกับ ‘ฟลุ๊ค’ เด็กหนุ่มร้านกาแฟที่อยู่ร่วมตลาดเดียวกันเท่านั้นแหละ... ชีวิตที่เคยสงบสุขและราบรื่นของฉันจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว...
ฟลุ๊คเป็นเด็กหนุ่มวัยเพียง 21 ปี ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งเปิดอยู่เยื้องไปจากร้านขนมของฉันไม่เท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี นิสัยขี้เล่น และคุยเก่ง จึงทำให้มักจะมีสาวแก่แม่ม่าย ตลอดจนถึงสาวๆ นักเรียนวัยกระเตาะ ชอบมาด้อมๆ มองๆ ติดพันเป็นลูกค้าที่ร้านไม่เคยขาด ซึ่งตัวของฟลุ๊คเองก็เหมือนจะรู้ถึงจุดนี้ดี ก็เลยยิ่งใช้รูปลักษณ์และหน้าตาของตัวเอง เอามาเป็นจุดขายในการเรียกลูกค้าสาวๆ ทั้งหยอกเย้า ทั้งบริการเอาอกเอาใจ จนมักจะได้ทิปติดกระเป๋ากลับไปตลอด
ซึ่งด้วยความที่ฉันเองก็เป็นคนชอบกินกาแฟอยู่เป็นทุนเดิม และร้านกาแฟของฟลุ๊คก็ค่อนข้างรสชาติถูกปาก จึงทำให้ฉันมักจะแวะเวียนไปนั่งเล่นพูดคุยเป็นลูกค้าอยู่ที่ร้านของเขาบ่อยๆ แต่ไม่ใช่เพราะว่าไปหลงเสน่ห์อะไรของเขาหรอกนะคะ ไอ้เรื่องนั้นน่ะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกค้าคนอื่นๆ เขาไปจัดการแย่งชิงกันเอาเองจะดีกว่า การได้เจอหน้าพูดคุยทักทายกันอยู่ทุกวัน จึงทำให้ฉันกับฟลุ๊คนั้นค่อนข้างสนิทกันพอสมควร แถมบ่อยครั้งเขายังมีน้ำใจอาสามาช่วยฉันขนของกลับไปเก็บที่บ้านอีกต่างหาก เพราะรู้สึกเห็นใจผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันที่ต้องคอยหิ้วถุงพะรุงพะรังทุกวัน จนฉันแอบนึกชื่นชมอยู่ในใจว่าเขาช่างเป็นคนดีมีน้ำใจเหลือเกิน
ในตอนแรกๆ ฉันเองก็ยังเข้าใจไปว่าเขาแค่มีน้ำใจตามประสาของเพื่อนร้านข้างเคียงกันเท่านั้น แต่หลังจากที่สนิทสนมกันมาได้ร่วมเดือน ฉันก็เริ่มที่จะสะกิดใจแปลกๆ ขึ้นมา ว่าจริงๆ แล้วนี่เขากำลังแอบคิดอะไรเกินเลยกับฉันอยู่รึเปล่า? ก็จะไม่ให้แอบสงสัยได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาเอาแต่คอยส่งข้อความแชทมาในไลน์ หรือไม่ก็เฟสบุ๊คหาฉันอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ชวนคุยเล่นบ้าง ถามนั่นถามนี่ถึงเรื่องส่วนตัวบ้าง สลับกับคอยเป็นเพื่อนเล่นเกมเศรษฐีแก้เบื่อเวลาที่ว่างจากลูกค้า ดูไปดูมาเหมือนกับหนุ่มสาวเขาจีบกันไม่มีผิด บางวันก็มีเอาเครื่องดื่มหรือขนมที่ขายอยู่ในร้านตัวเองมาฝาก จนฉันต้องเอ่ยปากปฏิเสธไปบ่อยๆ เพราะรู้สึกเกรงใจ ซึ่งเขาก็จะรีบตอบสวนกลับมาว่าตั้งใจนำมาให้ ถ้าเราไม่รับไว้ก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใครที่ไหน สุดท้ายฉันก็เลยต้องยอมรับมากินอย่างเสียมิได้... ยิ่งนานวันก็ดูเหมือนว่าฟลุ๊คจะยิ่งรุกเข้าจีบฉันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนฉันทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงตัดสินใจเอ่ยปากถามเขาไปตรงๆ เพราะไม่อยากให้ตัวเองสับสนไปมากกว่านี้
“ฟลุ๊ค พี่ถามอะไรหน่อยสิ” ฉันพิมพ์เปิดประเด็นไปหาเขาผ่านทางไลน์
“ว่างายฮะ” ฟลุ๊คพิมพ์ตอบกลับมาทันควัน ดูท่าทางว่าคงจะกำลังแอบนั่งอู้เล่นโทรศัพท์อยู่แล้วแน่ๆ
“มันอาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อยนะ แต่พี่อยากรู้ว่าทุกวันนี้ฟลุ๊คคิดอะไรกับพี่อยู่รึเปล่า” ฉันตัดสินใจพิมพ์ถามออกไปตรงๆ พอเขาอ่านแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบกลับมา
“แล้วพี่คิดอะไรกะผมป่ะล่ะ” เขาตอบมาด้วยคำถามเดียวกัน ทำเอาฉันแอบหงุดหงิดในความยียวนไม่น้อย
“พี่ถามก่อน ฟลุ๊คตอบก่อนสิ” ฉันจิ้มนิ้วพิมพ์กลับไปไวๆ
“อยากรู้จริงๆ เหรอ 555” เขายังคงแกล้งเล่นตัวไม่เลิก จนฉันชักรำคาญขึ้นมาตามประสาของคนขี้หงุดหงิด
“จะตอบก็ตอบสักที อย่าลีลาน่า” ฉันพิมพ์ออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะอ่านความรู้สึกที่แฝงอยู่ในข้อความนั้นได้ จึงรีบพิมพ์ตอบกลับมาตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม
“พี่นุชก็น่ารักดี ผมชอบ” ถ้อยคำสารภาพความในใจของอีกฝ่ายที่ส่งมา เล่นเอาฉันถึงกับใจเต้นตึกๆ ตักๆ
“บ้า มาช่งมาชอบอะไรล่ะ พี่มีลูกมีผัวแล้วนะตาเพี้ยน” ฉันแกล้งพิมพ์ตลกกลบเกลื่อน รู้สึกว่าลมหายใจมันติดขัดปั่นป่วน ใบหน้าร้อนวูบวาบจนพวงแก้มกลายเป็นสีแดงจัด ทั้งที่ไม่ได้ยืนพูดคุยกันอยู่ต่อหน้าด้วยซ้ำ
“จริงๆ นะ ผมน่ะปิ๊งพี่มาตั้งแต่ตอนที่เห็นพี่มาซื้อของที่ตลาดก่อนนี้แล้ว พี่นุชทั้งขาวทั้งสวย ถูกใจผมทุกอย่าง” ฟลุ๊คพิมพ์ระบายความรู้สึกแบบไม่มีเม้ม เหมือนว่าเขาเองก็รอจังหวะแบบนี้อยู่นานแล้ว จนทำให้คนที่เปิดฝ่ายเปิดฉากถามอย่างฉัน ยังต้องรู้สึกกระดากเขินอายขึ้นมาซะเอง
“พอๆ เพ้อเจ้อไปกันใหญ่ละ แค่นี้นะไม่คุยแล้ว” ฉันตัดสินใจชิงตัดบทไปดื้อๆ เพราะไม่อยากต่อความยาว
ถึงแม้ว่าฉันจะแอบปลื้มใจอยู่ไม่น้อย ที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีมาติดพันและชอบพอ แต่ขณะเดียวกัน... ฉันเองก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบคาดหวังถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนพี่น้อง เนื่องจากตัวฉันเองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว และที่สำคัญ... อีกฝ่ายเองก็มีแฟนสาวที่คบหาอยู่เช่นเดียวกัน ไอ้ความสัมพันธ์ที่เขาปรารถนานั้น จึงไม่อาจเกิดขึ้นบนโลกของความเป็นจริงได้ นอกเสียจากว่าเราสองคนจะแอบลักลอบคบหากัน ในฐานะของ ‘ชู้รัก’ เท่านั้น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเขาจะยินดียอมเลือกทางนี้เสียด้วยสิ... แม้ว่าฉันจะพยายามยืนกรานกับตัวเองอย่างหนักแน่นในทีแรก ว่าจะไม่ยอมโอนอ่อนและหวั่นไหวไปตามความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็อย่างที่โบราณว่า ‘น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน’ แล้วจะนับประสาอะไรกับหัวใจของคนที่มันเปราะบางยิ่งกว่าก้อนหินหลายเท่านัก พอโดนเขาคอยตามจีบตามตื๊อ คอยออดอ้อนเอาอกเอาใจอยู่ทุกวี่ทุกวันไม่ห่าง สุดท้ายฉันก็เลยเริ่มมีเผลอเป๋ๆ ไปกับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เหมือนกัน เมื่อได้พบเจอกับความสุขทางใจ ซึ่งขาดหายไปจากชีวิตคู่อันจืดชืดของตัวเองมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้ว
“ก็แค่คุยๆ กิ๊กกั๊กกันเฉยๆ มันคงจะไม่ผิดอะไรมากมายหรอกมั้ง” ฉันพยายามหาข้ออ้างเข้าข้างตัวเองแบบมักง่าย ก็ทีพี่ดำเองยังปล่อยให้ฉันนั่งห่อเหี่ยวอยู่บ้านมาได้เป็นปีๆ โดยที่ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร แล้วถ้าฉันจะลองหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนไว้คุยเล่นคลายเหงาบ้างนิดๆ หน่อยๆ มันจะผิดมากนักหรือ?
พอคิดแบบนั้นแล้วฉันก็เลยตัดสินใจว่าเลยตามเลยไปก่อนแล้วกัน เนื่องจากในใจลึกๆ นั้นก็แอบรู้สึกเหงาๆ คว้างๆ มานานแล้ว อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าพี่ดำน่ะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานเก็บเงินเป็นหลัก จันทร์ถึงอาทิตย์ 7 วันไม่เคยมีขาด แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาสวีทจี๋จ๋ากับฉันได้ล่ะคะ ยิ่งถ้าเจาะจงถึงเรื่องบนเตียงด้วยแล้ว จากที่เคยมีอะไรกันแทบจะวันเว้นวันในช่วงที่คบกันใหม่ๆ ก็ค่อยๆ ลดลงมาเหลืออาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง หลังจากเริ่มมีลูก จนถึงตอนนี้ก็แทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยก็ว่าได้
หึ! ใช่ซี้... ก็เดี๋ยวนี้ตัวฉันมันไม่สด... ไม่สาว... เหมือนตอนช่วงที่คบกันใหม่ๆ แล้วนี่ จะผิวพรรณหรือความเต่งตึง มันก็มีแต่จะถดถอยลงไป ไม่เหมือนช่วง 20 ต้นๆ ก็คงไม่แปลกหรอกที่อารมณ์พิศวาสของพี่เขามันจะลดลง... ฉันได้แต่เก็บเอาความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนี้ไว้กับตัวเองลึกๆ ด้วยความที่พี่ดำเองก็ทำงานกลับมาเหนื่อยๆ อยู่แล้ว ก็เลยไม่อยากจะไปรบเร้าหรือเอ่ยปากขอความรักอะไรจากเขาอีก แถมตัวเราเองมันก็เป็นสาวเป็นนางด้วยแล้ว จะให้เป็นฝ่ายเอ่ยไปปากขอมีเซ็กส์กับสามีก่อน มันก็คงจะน่าอายอยู่ไม่น้อย ซึ่งแม้ว่าฉันจะไม่ได้สนใจหรือหมกมุ่นอะไรกับเรื่องพวกนี้มากมายเท่าไหร่ แต่ลึกๆ แล้วยังไงเสีย คนเรามันก็ต้องมีอารมณ์และความต้องการเหมือนๆ กันทุกคนนั่นแหละค่ะ... สุดท้ายเมื่ออดอยากและเก็บกดเข้ามากๆ ฉันก็เลยต้องเอาเรื่องนี้ไประบายให้ฟลุ๊คฟัง ด้วยว่าไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปปรึกษากับใครได้อีก
“แบบนี้มันไม่ปกติแล้วนะผมว่า” ฟลุ๊คเสนอความเห็นหลังจากที่ฉันเล่าปัญหาบนเตียงที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“ใช่มะ ปกติผู้ชายน่าจะมีอารมณ์ง่ายกว่าผู้หญิงดิ” ฉันรีบพิมพ์โต้ตอบอย่างออกรส
“พิมพ์งี้ แสดงว่าพี่ก็เป็นพวกมีอารมณ์ง่ายอ่ะดิ 555” เขาเอ่ยแซว จนฉันอดขำกับความกวนประสาทไม่ได้
“ตลกละ ไม่ใช่สักหน่อย” ฉันตอบปฏิเสธทันควัน
“แล้วเดี๋ยวนี้พี่มีอะไรกันบ่อยป่ะ” ฟลุ๊คพยายามถามเจาะลึกถึงรายละเอียด
“ก็ไม่ค่อยอ่ะ บางทีก็ห่างกันเป็นอาทิตย์ๆ ก็มี” ฉันตอบเขาไปตามจริง
“แหม ถ้าผมเป็นแฟนพี่นะ รับรองว่าจะจัดให้สาสมใจทุกคืน เอาให้พี่ต้องร้องขอชีวิตเลย อิอิ” อีกฝ่ายพิมพ์ข้อความทะลึ่งทะเล้นส่งมา พอฉันอ่านปุ๊บก็หลุดขำออกไปเสียงดัง จนแม่ค้าฝั่งตรงข้ามยังต้องชะโงกหน้ามามองด้วยความสงสัย
“ปากดีเหมือนกันนะเราอ่ะ” ฉันตอบประชดประชันใส่ แต่กลับกลายเป็นยิ่งเข้าทางเขาเสียอีก
“ปากดี ลิ้นก็ดี” เขาตอบกวนๆ แบบคนหัวไว
“เออดี ชอบเลย ขอให้ดีจริงแล้วกัน” ฉันหยอกเล่นกลับไปบ้าง ชักเริ่มสนุกขึ้นมาแล้ว
“จัดเลยไหมล่ะ วันนี้เลย” อีกฝ่ายได้ทีรีบโยนหินถามทางมา
“ไม่เอาย่ะ” ฉันชิงปฏิเสธอย่างรู้ทัน ขืนตอบรับไปล่ะก็ มีหวังเจ้าตัวคงทำจริงๆ แน่ๆ
“จะมายุ่งกับพี่เนี่ย เคลียร์ตัวเองรึยังฮะ ถ้าคนที่บ้านรู้เข้า เขาจะไม่เสียใจเอาเหรอ อย่าให้พี่ต้องทำให้ผู้หญิงคนอื่นร้องไห้เลย ผัวใคร ใครจะไม่รักบ้าง” ฉันย้อนถามเขาเพื่อหวังจะเรียกสติ
“ก็จะให้ทำไง มันรักพี่ไปแล้วนี่” ฟลุ๊คตอบมาด้วยอารมณ์ตัดพ้อ
“ฟลุ๊คครับ เรายังไม่ได้ตัดสินใจคบกันเลยนะ อย่าพึ่งเรียกว่ารัก ตอนนี้ฟลุ๊คก็แค่หลงพี่เท่านั้นแหละ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาดูกันไปก่อน” ฉันพยายามอธิบายด้วยเหตุผลแบบผู้ใหญ่
“ไม่อ่ะ ฟลุ๊ครักพี่จริงๆ นะ รักมานานแล้วด้วย มีแต่พี่นั่นแหละที่ไม่ยอมรับตัวเอง” เขาย้อนอย่างเจ็บแสบ
“เฮ้อ พูดไรไปก็ไม่ฟังเลยเด็กน้อย แอบชอบกันไปแบบนี้อ่ะดีแล้ว เอาไว้เป็นกำลังใจเวลาทำงานก็พอแล้ว”
“ถ้าพี่ไม่ลองคบกัน จะรู้ได้ไงว่าฟลุ๊คแค่หลงจิงรึป่าว” คำพูดของฟลุ๊คก็พอจะมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะฟังดูเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย
“วกมาเรื่องนี้อีกแระ อย่าเร่งได้มั้ยอ่ะ ค่อยๆ ดูไปก่อนแล้วกัน พี่ไม่อยากต้องมามีปัญหา มานั่งทะเลาะ เข้าใจป่ะ ถ้ายังอยากจะคุยกันต่อก็ควรรู้ตัวว่าเราคุยกันอยู่ในฐานะแบบไหน ไม่ใช่เอาแต่ใจเป็นเด็กๆ” ฉันยืนกรานยื่นคำขาดออกไปอย่างจริงจัง
“โอเค จัดไป จุ๊บๆ” พอเห็นแบบนั้นฟลุ๊คก็เลยยอมรับคำกลับมาอย่างว่าง่าย
“เออย่ะ ตาบ้า!” ฉันตอบขำๆ อย่างนึกเอ็นดู ถ้ายังพอคุยกันรู้เรื่องแบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่