“หากฟากฟ้ามีสรวงสวรรค์ บนผืนปฐพีก็มี ซู หัง"
ในคำกล่าวโบราณ ซู หมายถึง ซูโจว หัง ย่อมหมายถึง หังโจว ที่นี้นี่เอง
หลังจากราชวงศ์ถังถึงกาลล่มสลายแผ่นดินแตกออกเป็น ห้าราชวงศ์ทางตอนเหนือ สิบแคว้นทางตอนใต้ ทำสงครามรบพุ่งไม่เว้นวัน ไฟสงครามลามเลียไปทุกย่อมหญ้า ในกลียุคเช่นนี้ จะหาที่ปลอดจากภัยสงครามยังมิง่ายดาย อย่าว่าแต่จะหาสรวงสวรรค์ เช่นนั้นนครหางโจวอันงามตระการแห่งนี้คงยิ่งกว่าสรวงสวรรค์บนแดนดินแล้ว
นครหางโจวปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นอู๋เยี่ยว์ของตระกูลเฉียน แคว้นอู๋เยี่ยว์เป็นแคว้นเล็ก กำลังอ่อนด้อย หากแต่ดำเนินนโยบายละมุนละม่อม ยอมส่งบรรณาการแก่ราชวงศ์ซ่งที่ผงาดขึ้นกลืนกินแคว้นเล็กแคว้นน้อยทางตอนใต้ไปมากมาย บางปีถึงกับยอมเสี่ยงให้พระคลังว่างเปล่าเพื่อส่งบรรณาการ แลกกับการไม่ต้องทำสงครามเพื่อความสงบสุขร่มเย็นของประชาชน แคว้นเล็กประชากรเพียงห้าแสนเศษนี้จึงยังดำรงอยู่มาได้ภายใต้กษัตริย์ถึง 3 พระองค์เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว
นครหางโจวมีทะเลสาบซีหูเป็นทะเลสาบเลืองชื่อของแผ่นดิน ทิวทัศน์งามตระการ ถ้าหากทะเลสาบซีหูราวกับไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ เช่นนั้นคฤหาสน์ตระกูลเซียวริมทะเลสาปซีหูแห่งนี้คงเป็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์
ในห้องอาบน้ำของคฤหาสน์ตระกูลเซียว บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกำลังรับการปรนนิบัติจากโฉมสะคราญ 4 นาง แต่ละนางงามดั่งพระสนมของฮ่องเต้ ผิวพรรณเรียบลื่นประดุจหยก ผมดำขลับ รูปร่างงดงาม นัยน์ตาใสกระจ่างประดุจนิล ไม่ว่านางใดล้วนมีความงาม แม้ไม่ถึงระดับยิ้มเดียวล่มเมืองแต่นับว่าหาได้ยากยิ่งแม้แต่ในวังหลวง แต่ในที่นี้กลับมีถึงสี่นาง
“อาจูพี่สาว ท่าน...ท่านทำความสะอาดตรง... อืม ...ตรงจุดนั้นมากเกินไปหรือไม่” ชายหนุ่มส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้เนื่องจากเหม่ยจูผู้เลอโฉมกำลังลูบไล้จุดสำคัญอย่างจดจ่อ
“มิได้หรอก นายน้อย คราวก่อนข้าโดนตำหนิจากท่านเพ่ยอิง นางบอกว่า...บอกว่านางได้กลิ่นไม่งามเมื่อนาง...นางใช้ปากกับ...ข้าไม่พูดต่อแล้ว” เหม่ยจูกล่าวตอบพลางหน้าแดงซ่าน
“แต่ว่าท่านลูบไล้แบบนี้ ข้าเกรงว่าจะทานทนไม่ได้ สมควรสะอาดพอแล้วกระมัง” ชายหนุ่มกล่าวตอบ
“อาจู เจ้ากลัวว่าไม่สะอาดพอเจ้าก็ทดลองใช้ปากดูสิ” เหม่ยหลินกล่าวสัพยอก ในกลุ่มสาวงามทั้งสี่ นับนางขี้เล่นที่สุด นางมีดวงตากลมโต มีลักยิ้มแลดูซุกซน นางและเหม่ยจูเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทสนมดังพี่น้อง
“อาหลิน! เจ้ากล้าก็ทดลองเอง” อาจูตอบหน้าแดงซ่านกว่าเดิม ถึงนางจะปรนนิบัตินายน้อยเช่นนี้ทุกวันแต่นางยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์ ตอนแรกที่ได้สัมผัสความเป็นบุรุษยังคงกล้าๆ กลัวๆ นานมาก็เริ่มชิน แต่ถ้าให้นางทำมากไปกว่านี้ ถึงใจนางจะยินดีแต่ยังคงเขินอาย
“ถ้าเช่นนั้น เปลี่ยนหน้าที่ให้เพ่ยเพ่ยทำ จะอย่างไรนางมองไม่เห็นอยู่แล้วคงไม่เขินอายเกินไปกระมัง” ลี่ลี่ พี่ใหญ่ในหมู่สี่สาวสั่งการ
“พี่ลี่ลี่! ถึงในนี้ข้าจะมองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่ข้าก็...ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” เพ่ยเพ่ย โฉมสะคราญแก้มป่องกล่าวตอบด้วยใจระทึก นางมีดวงตากลมโต แต่ว่านางสายตาสั้นมาก ปกตินางต้องใช้แว่นตาตลอดเวลา แต่ในห้องอาบน้ำอุ่นนี้มีไอน้ำมากมายนางจึงใส่แว่นไม่ได้ มองทุกสิ่งพร่ามัวไปหมด ปกตินางจึงรับผิดชอบการขัดหลังให้นายน้อยเท่านั้น
“หยุด! พี่สาวทุกท่านไม่ต้องทดลอง ข้าคิดว่าสะอาดพอแล้ว อีกอย่างอย่าเรียกข้าว่านายน้อยเลย เราไม่ได้เป็นนายบ่าวกัน เรียกข้าว่าเฟยเทียนก็พอ”
ชายหนุ่มผู้นี้คือเซียวเฟยเทียน (เซียวเป็นแซ่ เฟยเทียนแปลว่าทะยานฟ้า) เป็นนายน้อยของตระกูลเซียว ปีนี้อายุ 20 ปีแล้ว ท่านพ่อสละเรื่องทางบ้านให้ดูแลแล้วออกท่องเที่ยวทั่วแผ่นดินพร้อมท่านแม่ตั้งแต่สองปีก่อน แม้เรียกว่านายน้อย ที่แท้เป็นนายใหญ่แห่งตระกูลเซียวแล้ว
ตระกูลเซียวแห่งหางโจวเป็นตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งของแคว้นอู๋เยี่ยว์ เนื่องจากแคว้นแคว้นอู๋เยี่ยว์อยู่ติดทะเล ตระกูลเซียวจึงร่ำรวยจากการทำการค้ากับญี่ปุ่น, โกคูเรียว, แพคเจ, ชิลลา และป๋อไห่ เซียวเฟยเทียนเองเคยเดินทางไปอาณาจักร์เหล่านี้หลายครั้ง
แล้วเหตุใดตระกูลเซียวจึงมีสาวงามระดับนางสนมฮ่องเต้เป็นสาวใช้ได้เล่า? เรื่องนี้มีการเข้าใจผิดและข่าวลือมากมายโจษจันกันไปต่าง ๆ นานาทั่วแผ่นดิน ความเข้าใจผิดอย่างแรกคือพวกนางไม่ใช่สาวใช้! แต่พวกนางยินดีรับใช้เช่นนี้เองเนื่องเพราะพวกนางนอกจากรับใช้เช่นนี้แล้ว ไม่เคยถูกฝึกสิ่งอื่นใด ข้อที่สองคือพวกนางมิใช่งดงามดั่งนางสนม แต่พวกนางเป็นนางสนมจริง ๆ!
ศักดิ์ฐานะลับๆ ของตระกูลเซียวคือสำนักสราญรมย์ ท่านปู่ของเซียวเฟยเทียนเป็นผู้ก่อตั้งสำนักและบัญญัติท่าเท้าท่องคลื่น, ลมปราณภูติอุดร และมือหักเหมยสราญรมย์จนสามารถท่องทะยานไปทั่วแผ่นดิน แม้ยังห่างไกลกับคำพิชิตโดยไร้ผู้ต่อต้าน แต่สำหรับต่อสู้เอาตัวรอดนับว่าเหลือเฝือ โดยเฉพาะท่าเท้าท่องคลื่นนั้นลึกล้ำพิสดาร ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถคาดเดาก้าวต่อไปได้ทำให้สะดวกต่อการหลบหลีกหรือหลบหนีแม้ฝ่ายตรงข้ามจะใช้พวกมากกลุ้มรุมก็ตาม
จากปมเด่นด้านความคล่องแคล่วและสูงสง่าของท่าเท้าท่องคลื่นนี้เอง วิชานี้จึงเหมาะให้อิสตรีฝึกปรือด้วย เจ้าสำนักรุ่นแรกจึงตั้งปณิธานถนอมหยกพิทักษ์บุปผาโดยลอบช่วยเหลือสาวงามจากเมืองต่าง ๆ ที่ย่อยยับจากไฟสงครามให้มาพักพิงในที่แห่งนี้ เนื่องจากแคว้นอู๋เยี่ยว์ยึดนโยบายรักสงบ จึงเป็นเหตุให้ตระกูลเซียวตั้งรกราก ณ ที่นี้นั่นเอง
เหม่ยหลินและเหม่ยจูเคยเป็นนางสนมของฮ่องเต้แคว้นโฮ่วสู ลี่ลี่และเพ่ยเพ่ยเป็นนางสนมฮ่องเต้แคว้นหนันผิง เพ่ยอิงที่พวกนางกล่าวถึง ถึงกับเป็นสนมเอกแคว้นโฮ่วสู! ทั้งสองแคว้นล้วนถูกโค่นล้มโดยราชวงศ์ซ่ง ในยุคสงครามเช่นนี้ผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุดคือสาวงาม ยิ่งงามหนึ่งส่วน ยิ่งเพิ่มอันตรายอีกหนึ่งส่วน บิดาของเซียวเฟยเทียนลอบเข้าวังไปช่วยพวกนางและเพื่อนสนมจำนวนหนึ่งออกมาได้ พวกนางทั้งสี่ขอปรนนิบัติรับใช้ในบ้านตระกูลเซียวเนื่องจากไม่มีญาติที่ไหน คนอื่น ๆ บ้างรั้งอยู่บางกลับบ้านช่องของตัวเอง ตระกูลเซียวได้ถ่ายทอดวิชาให้เรียนรู้ตามปฏิภาณของแต่ละคน มอบทรัพย์ให้จำนวนนึงแล้วส่งกลับบ้านเดิม ทั้งสี่สามงามแม้มีฐานะเป็นนางสนมแต่เนื่องจากบ้านเมืองล่มสลายก่อนได้ถวายตัวรับใช้จึงยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เนื่องจากในบ้านมีแต่สาวงาม เพื่อป้องกันปัญหา บ้านตระกูลเซียวจึงไม่มีชายคนอื่นนอกจากเซียวเฟยเทียน แน่นอนเขาอยู่ท่ามกลางบุปผางามเหล่านี้ย่อมต้องหวั่นไหวใจ แต่บางนางเติบโตมาด้วยกัน ประกอบกับนิสัยถือดีไม่นิยมบังคับหรือใช้ศักดิ์ฐานะหรือบุญคุณช่วยชีวิตในการครอบครองสาวงาม ทำให้มิได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสาวงามในบ้านมากเกินไปนัก แม้แต่กับสนมทั้งสี่ที่ปรนนิบัติทุกวันก็ยังมิได้ลึกซึ้งกัน แต่กับสนมเอกเพ่ยอิงแล้ว เป็นความพอใจของเพ่ยอิงเอง อีกทั้งนางยังเป็นคนแรกของเซียวเฟยเทียนอีกด้วย นับว่าเป็นอาจารย์บนเตียงท่านแรก
“พวกเจ้าปรนนิบัตินายน้อยอาบน้ำอย่างไร ไฉนจึงนานนัก” เสียงของเพ่ยอิงดังออกมาจากหน้าห้องอาบน้ำ ต่อจากนั้นเป็นเสียงฝีเท้านางเดินเข้ามาในห้อง
“อา... พี่เพ่ยอิง !” โฉมสะคราญทั้งสี่สะท้านขึ้นพร้อมกัน จากนั้นแยกย้ายออกมายืนสองข้างของนายน้อย ปล่อยให้เพ่ยอิงซึ่งขณะนี้เปลือยเปล่าเช่นเดียวกันเดินเข้ามาสวมกอดเซียวเฟยเทียน
“ไหน เฟยเทียนน้อยของข้าสะอาดดีหรือยัง” เพ่ยอิงกล่าวพร้อมวักน้ำทำความสะอาด “เฟยเทียนน้อย” แล้วใส่ปาก ดูด เลียอย่างชำนาญ
“อา... พี่เพ่ยอิง ช้าก่อน อูย...” ถึงชำนาญสนามบ้างแล้ว แต่โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ เซียวเฟยเทียนถึงกับครวญคราง จากนั้น ตอบโต้กลับไป มือหนึ่งลูบไล้เต้าเต่งอย่างมันมือ ส่วนอีกมือหนึ่งส่งไปสำรวจความฉ่ำเยิ้มที่เบื่องล่างทันที
“อืม ไฉนท่านจึงชุ่มฉ่ำถึงเพียงนี้” เซียวเฟยเทียนกล่าวถาม
เพ่ยอิงกำลังถูกใจกับความแข็งแกร่งและใหญ่โตของเฟยเทียนน้อย นางจึงมิได้ตอบคำถาม นอกจากส่งเสียงครางอย่างสบใจที่ศิษย์รักใช้วิชาที่นางสอนให้กับนางได้ดียิ่งนัก เซียวเฟยเทียนเล้าโลมหน้าอกของนางโดยเคล้าคลึงเป็นวงกลมโดยละเว้นยอดอกของนางไว้ก่อนแม้ใจจะอยากสัมผัสเพียงใด ส่วนมือที่อยู่ด้านล่างก็ลูบไล้ไปตามกลีบรักอย่างยั่วเย้า ทำให้น้ำรักของเพ่ยอิงหลั่งออกมาจนชุ่มมือของเขา
เพ่ยอิงอายุ 20 เศษ นางไม่ยอมบอกอายุที่แน่นอน คนอื่นย่อมไม่สะดวกจะถามไถ่ นางมีเสน่ห์ความงามของวัยสาวเต็มเปี่ยม รูปหน้ารูปไข่ ตาหงส์ทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยสง่าราศีและความเย้ายวน รูปร่างของนางอวบอัดเต็มสาว ปทุมถันสวยงามได้รูปและเต็มแน่นด้วยวัยสาว ไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่านางมีความงามพอล่มเมืองเนื่องจากแคว้นของนางเองล่มสลายจากการที่แม่ทัพใหญ่พยายามแย่งชิงนางจากฮ่องเต้นั่นเอง แต่จะโทษว่านางได้อย่างไร นางไม่เคยคิดจะยั่วยวนผู้ใด แต่ในขณะนี้นางกำลังสนุกกับการยั่วยวนเซียวเฟยเทียนอย่างเต็มที่
“อา... ที่แท้มือหักเหมยใช้การแบบนี้เอง... ข้าเกรงว่าแม้ดรรชนีเอกสุริยันอันเลื่องชื่อ ก็ยังเป็นรองมือของเจ้าเป็นแน่ อา...” หลังจากกระตุ้นความเป็นชายจนแข็งแกร่งเป็นที่พอใจแล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้นมาหยอกเย้า จากนั้นก็ต้องส่งเสียงครางออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว
“จ๊วบ ๆๆๆ ท่านอาจารย์นางงามที่รัก ข้ายังมีวิชาก้นหีบ ชิวหาเอกสุริยัน อีกด้วย เป็นอย่างไร ร้ายกาจหรือไม่” เซียวเฟยเทียนกล่าวพลางระรัวลิ้นไปยังยอดเต้างามสีชมพู บางครั้งถึงกับดูดดุนยอดปทุมถันนั้นไว้ในปาก
“อา... ที่แท้ ชิวหาเอกสุริยัน ร้ายกาจเพียงนี้เท่านั้น” เพ่ยอิงแสร้งข่มความเสียวซ่านเอาไว้ กล่าวพร้อมส่งสายตายั่วยวน
เซียวเฟยเทียนกดร่างเพ่ยอิงให้นอนหงายลงกับพื้น ลี่ลี่ได้สติรีบนำผ้ามารองแผ่นหลังให้นาง จากนั้นเซียวเฟยเทียนบรรจงตวัดปลายลิ้นไปยังจุดอ่อนไหวของเพ่ยเพ่ยอย่างรวดเร็ว ลิ้นของเขาเดี๋ยวก็ปาดไปมาที่ร่องรัก เดี๋ยวก็ชอนไชเข้าไปยังร่องรักอย่างรวดเร็ว แหมเพ่ยอิงไม่ใช่หยกบริสุทธิ์แต่นางเพียงผ่านฮ่องเต้ไก่อ่อนมาเท่านั้น ร่องรักของนางจึงยังงดงามไม่มีส่วนเกินใดให้รำคาญใจ ภายในร่องรักเป็นสีชมพูใส ตามสีผิวกายที่ขาวนวลอมชมพูของนาง
“อา... โอ เฟยเทียน เช่นนี้จึงนับเป็นวิชาไม้ตายอย่างแท้จริง” เพ่ยอิงส่งเสียงครางอย่างสมใจ
“ให้อาจารย์ทำให้เจ้าบ้าง” หลังจากนางเกือบจะถึงจุดหมายด้วยปลายลิ้นของศิษย์รัก เพ่ยอิงดันศีรษะเซียวเฟยเทียนออกจากนั้นจัดท่าราวกับปลาขาวดำในยันต์แปดทิศ จากนั้นต่างคนต่างใช้ชิวหาและปากทำให้อีกฝ่ายมีความสุขอย่างที่สุด เสียงครางกระสันของชายหญิงดังประสานไปทั่วห้องอาบน้ำ
“อา... ใช้ดรรชนีช่วยเช่นนี้ ดรรชนีทะยานฟ้า (เฟยเทียน) ของเจ้าร้ายกาจจริง ๆ เจ้าโกงข้า อา... ไม่ไหว... ไม่ไหวแล้ว อ๊า......” เพ่ยอิงหวีดร้องเสียงยาวเมื่อเขาสอดดรรชนีเข้าไปยังร่องรักพร้อมระรัวปลายนิ้วไปยังจุดกระสันอย่างรวดเร็ว จนนางได้เสร็จสมเป็นครั้งแรกในวันนี้ แม้เพียงใช้ดรรชนีร่องรักของนางยังกระชับแน่นและตอดรัดปานนี้ ถ้าใช้เฟยเทียนน้อย...
“พอ...พอก่อน” เพ่ยอิงเอ่ยขึ้นพร้อมดันตัวเซียวเฟยเทียนออกจากร่างนาง
“ทำไมกัน พี่เพ่ยอิง” เซียวเฟยเทียนถามอย่างประหลาดใจ เนื่องจากปกติแล้วนางไม่ยอมเลิกราจนกว่านางจะเคลิ้มหลับไปเอง
“เจ้าช่างเสียที ที่เป็นยอดยุทธ เจ้าไม่ใส่ใจสังเกตรอบ ๆ ลานประลองเลยรึ” เพ่ยอิงกลั้นหัวเราะ พร้อมสัพยอก แววตาซุกซน
เมื่อกำลังเกี่ยวก้อยขึ้นเขาวูซันกับสาวงามระดับเพ่ยอิง ผู้ใดจะมีกระใจสนใจสิ่งรอบตัว เซียวเฟยเทียนหันมองรอบ ๆ ห้อง พบว่าโฉมสะคราญทั้งสี่นาง ตอนนี้ยืนหนีบขาแน่น ขบริมฝีปาก ใบหน้าแดงร้อนผ่าว มีหยาดน้ำใสๆ ไหลรินจากบริเวณร่องสาว ปกติถึงพวกนางจะทราบว่าเซียวเฟยเทียนและเพ่ยเพ่ยมีสัมพันธ์กันอย่างไร แต่นี้เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เห็นกับตาตนเอง จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติ
“วันนี้ข้าจะทดสอบการฝึกของเจ้า เจ้าจงกำหราบสาวงามทั้งสี่นี้ให้หมดสิ้น ใครจะเป็นคู่ประมือคนแรก” เพ่ยอิงกล่าวถามพร้อมกับมองไปยังสี่สาวงาม
“อา...” เสียงอุทานดังอาหลุดออกมาพร้อมกันทั้งสี่เสียงราวกับนัดแนะกันไว้ เซียวเฟยเทียนเองรับรู้ได้ทันทีว่าเขาตกไปยังหลุมพรางของเพ่ยอิงแล้ว